เก้ายุทธภูมิ
ซุนวูกล่าวว่า หลักแห่งการบัญชาทัพมีอยู่ว่า ต้องรู้ว่ายุทธภูมิอย่างใดเป็นยุทธภูมิกระจาย ยุทธภูมิอย่างใดเป็นยุทธภูมิเบา ยุทธภูมิอย่างใดเป็นยุทธภูมิช่วงชิง ยุทธภูมิอย่างใดเป็นยุทธภูมิเปิด ยุทธภูมิอย่างใดเป็นยุทธภูมิสามประสาน ยุทธภูมิอย่างใดเป็นยุทธภูมิอันตราย ยุทธภูมิอย่างใดเป็นยุทธภูมิวิบาก ยุทธภูมิอย่างใดเป็นยุทธภูมิโอบล้อม ยุทธภูมิอย่างใดเป็นยุทธภูมิคับขัน เมื่อรบในขอบเขตแห่งอาณาจักรตน เรียก “ยุทธภูมิกระจาย” เมื่อเข้าเขตข้าศึกแต่เพียงไม่ลึก เรียก “ยุทธภูมิเบา” บางยุทธภูมิเราได้จักมีประโยชน์ ข้าศึกได้ก็มีประโยชน์ ซึ่งเป็น “ยุทธภูมิช่วงชิง” บางยุทธภูมิเราอาจเคลื่อนทัพได้ง่าย แต่ข้าศึกก็เคลื่อนทัพได้ง่ายเช่นกัน เช่นนี้เรียก “ยุทธภูมิเปิด” พื้นที่ซึ่งมีความสำคัญต่อสามฝ่าย ผู้เข้าครอบครองได้ก่อนย่อมครองพิภพจบแผ่นดิน เช่นนี้เรียก “ยุทธภูมิสามประสาน” บุกลึกเข้าไปในพื้นที่ข้าศึก จนหลายเมืองของข้าศึกอยู่เบื้องหลัง เช่นนี้เรียกว่า “ยุทธภูมิอันตราย” มีทั้งภูเขาสูงใหญ่ ป่ารกทึบ มีทั้งอันตรายและสิ่งกีดขวาง ทั้งยังเต็มไปด้วยห้วยหนองคลองบึง ดารดาษดกดื่นอยู่ทั่วไป เช่นนี้เรียก “ยุทธภูมิวิบาก” บางพื้นที่ทางเข้าแคบ เมื่อจะออกกลับถูกปิด เช่นนี้เรียก “ยุทธภูมิโอบล้อม” บางครั้งจะรอดได้ต้องรบเร็ว หากล่าช้าเป็นถึงแก่ชีวิต เช่นนี้เรียก “ยุทธภูมิคับขัน” หากหวังความสำเร็จเมื่ออยู่ในยุทธภูมิกระจาย พึงเลี่ยงสงคราม ในยุทธภูมิเบาอย่าหยุด ในยุทธภูมิช่วงชิงอย่าเข้าตี ในยุทธภูมิเปิดพึงหนุนเนื่อง ในยุทธภูมิสามประสานพึงคบมิตร ในยุทธภูมิอันตรายให้กวาดต้อน ในยุทธภูมิโอบล้อมให้ใช้อุบาย ในยุทธภูมิคับขันให้รีบสู้
ผู้สันทัดการบัญชาทัพแต่โบราณ สามารถตัดหน้าหลังข้าศึกให้ขาดจากกัน ทัพเล็กมิอาจพึ่งทัพใหญ่ ห้ามแข็งแกร่งมิให้ช่วยผู้อ่อนหัด กีดกันนายกองมิให้รวบรวมไพร่พล ตีเหล่าไพร่พลให้แตกพ่าย มิให้รวมตัวกันติด รังควานให้เกิดความอลหม่าน เมื่อใดเข้าร่วมสงครามแล้วมีประโยชน์ ให้รีบร่วม เมื่อเข้าแล้วหามีประโยชน์อันใดไม่ ให้เมินเสีย หากผู้กล้าเอ่ยถ่ามว่า “เมื่อมีแม่ทัพข้าศึกนำไพร่พลจำนวนมากบุกมา จะเตรียมรับมือฉันใด?” จงบอกเขาว่า “แรกที่สุด ให้ยึดสิ่งที่ข้าศึกหวงแหน แล้วข้าศึกจะยอมตามเราทุกประการ ความเร็วคือหัวใจของการรบ ฉะนั้น จึงควรใช้ประโยชน์จากการที่กองทัพของฝ่ายศรัตรูมีขนาดใหญ่ทำให้อุ้ยอ้ายอืดอาด พึงใช้ความไม่พร้อมของฝ่ายศรัตรูให้เป็นประโยชน์ และเข้าโจมตีตรงจุดที่ข้าศึกคาดไม่ถึง”
หลักแห่งการรุกเข้าแดนข้าศึก หากเข้าลึกกองทัพจักมุ่งมั่น เป็นการควบคุมไพร่พลโดยนายกองมิต้องกดดัน เสบียงให้กวาดต้อนเอาจากคหบดีในแดนข้าศึก ทัพใหญ่จักมีอาหารอุดม ดูแลไพร่พลให้ดี อย่าบีบคั้น ขวัญที่ดีย่อมส่งเสริมให้กองทัพมีกำลังแข็งกล้า เคลื่อนพลพึงใช้อุบายให้เหนือคาดคิด อย่าปล่อยให้ข้าศึกประเมินกำลังเราได้ง่ายดาย วางกำลังให้ยากแก่การที่ไพร่พลจะแตกหนี เยี่ยงนี้พวกเขาจะสู้ตายไม่มีถอย เยี่ยงนี้จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตรอด ทั้งนายทั้งไพร่จะสู้ถวายหัวจนสุดกำลัง ทหารที่มุ่งมั่นย่อมลืมกลัว ไม่มีที่หนีย่อมต้องสู้ เข้าลึกอยู่ในแดนข้าศึก พวกเขาย่อมไม่มีทางเลือก หนีไม่ได้ก็ต้องสู้ตายกันไปข้างหนึ่ง ทำได้ดั่งนี้ มิต้องจัดเวรยาม ไพร่พลก็จักระวังระไว มิต้องบอกกล่าว ก็ทำในสิ่งที่ควร มิต้องบังคับ ก็อุทิศกายถวายชีวิต มิต้องสั่งการ ก็ยังวางใจได้ “ไม่อยากให้เดา อย่าให้สงสัย ไม่อยากให้ตาย อย่าให้ทางหนี” ไพร่พลเราแม้นไร้ทรัพย์สิน ใช่เพราะเกลียดสมบัติ ไพร่พลไม่กลัวตาย ใช่เพราะชังชีวิต ในวันออกคำสั่งรบ ไพร่พลอาจนั่งร้องไห้จนน้ำตาชุ่มปกเสื้อ เมื่อลุกขึ้น น้ำตายังอาบแก้ม จงจัดให้พวกเขาไปอยู่ในตำแหน่งที่มิอาจวิ่งหนี แล้วพวกเขาจะแสดงความกล้าหาญอย่างไม่คิดชีวิต
ผู้สันทัดการบัญชาทัพ ต้องตอบสนองว่องไว ต้องพัฒนาการตอบสนองให้ว่องไว ไวให้เหมือนการฉกของงูส้วยหราง (งูแห่งเขาฉางซาน) เมื่อถูกตีหัวให้ฟาดหาง เมื่อถูกตีหางให้หัวกัด ถูกตีกลางลำตัวทั้งหัวและหางต้องช่วยกัน หากมีผู้กล้าถามว่า “จะมีกองทัพใดสามารถเลียนแบบการตอบสนองอย่างฉับไวเช่นนี้ได้บ้างไหม?” เราตอบว่า “มี” เรื่องนี้ศึกษาได้จากยามมีภัย คนเราแม้นไม่ถูกกัน แต่เมื่ออยู่เรือลำเดียวกันแล้วเจอพายุก็ย่อมต้องช่วยกันมือเป็นระวิง ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่างก็พร้อมจะช่วยอีกฝ่ายเหมือนหนึ่งเช่นมือขวาช่วยมือซ้าย ยามประสบพบเภทภัย อาจผูกม้าและฝังล้อเกวียน แต่เพียงเท่านี้ยังมิพอ กองกำลังที่จัดอย่างมีระบบ ย่อมหาญกล้ากว่าปัจเจกชน อันว่าศิลป์ของการจัดระบบ ให้จัดที่แกร่งและที่อ่อนไว้ด้วยกัน ทั้งยังต้องใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์ ผู้สันทัดการบัญชาทัพ สามารถบัญชาไพร่พลได้เป็นหนึ่งเดียว สามารถขับเคี่ยวไพร่พลให้สู้ไม่มีถอยหนี ลักษณะอันเป็นคุณของแม่ทัพคือ... ต้องเยือกเย็นเพื่อขบคิด ต้องเที่ยงธรรมเพื่อปกครอง ต้องรู้จักควบคุมสิ่งที่ไพร่พลของตนจะเห็นและได้ยิน ให้เขาทำตามโดยไม่รู้แผนการ หน้าที่ไพร่พลอาจเปลี่ยนได้ แผนการอาจเปลี่ยนได้ ใช้คนมิต้องให้เข้าใจ ที่ตั้งค่ายต้องเปลี่ยนแปร เคลื่อนที่อย่าซ้ำซาก ใช้คนอย่าให้ล่วงรู้แผนการ ให้รู้เฉพาะที่จำเป็นเฉกเช่นปีนขึ้นบันไดขึ้นที่สูง แล้วชักบันไดเสีย ต้องสามารถนำไพร่พลบุกลึกเข้าไปในแดนมิคุ้น แล้วยังหาโอกาสคว้าชัยชนะมาได้ ต้องต้อนผู้คนดั่งฝูงแกะ ต้อนให้ออกเดิน ต้อนให้เข้าโจมตี อย่าให้รู้ว่าจะให้มุ่งหน้าไปทางใด ต้องรวบรวมคนให้เป็นกองทัพเกรียงไกร แล้วต้อนให้โรมรันกับเหล่าศรัตรู ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพพื้นที่ ปรับตัวเพื่อสร้างโอกาส ต้องจัดการจิตใจของผู้คน ต้องฝึกฝนทักษะเหล่านี้ให้จงดี พึงใช้ยุทธศาสตร์การบุก การบุกลึกเข้าไปในพื้นที่ข้าศึกทำให้กองทัพเหนียวแน่น รุกเพียงตื้นทำให้กำลังกระจัดกระจาย เมื่อออกจากแดนตนข้ามเขตไป ต้องเข้มงวดการควบคุม เนื่องด้วยเป็นยุทธภูมิช่วงชิง บางครั้งสามารถเดินทัพไปทางใดก็ได้ เช่นนี้เรียก ยุทธภูมิสัญจร (สามประสาน) บางครั้งอาจเจาะลึกเข้าไปในแดนข้าศึก เช่นนี้เรียกยุทธภูมิอันตราย หากเจาะเข้าไปเพียงเล็กน้อย เช่นนี้เรียกยุทธภูมิเบา เมื่อทางถอยกลับถูกปิด ส่วนทางเดินหน้าลำบากแล้ว ต้องเรียกยุทธภูมิโอบล้อม บางยุทธภูมิหนีไปไหนไม่ได้ อย่างนี้เรียกยุทธภูมิคับขัน ในยุทธภูมิกระจัดกระจาย ต้องรวมใจไพร่พล ในยุทธภูมิเบา การสื่อสารอย่าให้ขาด ในยุทธภูมิช่วงชิง ต้องคอยขัดขวางข้าศึก ในยุทธภูมิเปิด ต้องปกป้องพื้นที่สำคัญ ในยุทธภูมิสัญจร ต้องเร่งสร้างพันธมิตร ในยุทธภูมิอันตราย ต้องรักษาเสบียง ในยุทธภูมิวิบาก ต้องเดินทัพไปตามถนน ในยุทธภูมิโอบล้อม ต้องคอยระวังอย่าให้ความลับรั่วไหล ในยุทธภูมิคับขัน อย่าให้เสียผู้คน ธรรมชาติของคน ถูกล้อมจักต้านทาน จำเป็นจักสู้ คับขันจักฟังบัญชา
จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง หากมิรู้แผนของศรัตรู จงอย่าพยายามที่จะเผชิญ หากมิรู้ตำแหน่งของภูเขา, ป่า, สิ่งกีดขวาง และหนองน้ำ จงอย่าเดินทัพ หากมิมีผู้นำทางท้องถิ่น ก็จักมิได้ประโยชน์จากภูมิประเทศ สงครามมีหลายปัจจัย หากมิทราบแต่เพียงหนึ่งปัจจัย มิควรก่อสงคราม ทำสงครามกับเมืองใหญ่ ต้องแบ่งแยกให้แตกฝ่าย ต้องสลายความหาญกล้าของศรัตรู ต้องรู้กันมิให้ข้าศึกรวมกันติด พันธมิตรมิจำเป็นต้องแสวงหา อำนาจบารมีของเมืองอื่นมิพึงต้องไปส่งเสริม ดำเนินการใดมิบังควรต้องไปป่าวประกาศ จะเพิ่มความกลัวที่ข้าศึกมีต่อเรา ทำให้พันธมิตรของข้าศึกถอนกำลัง แล้วทั้งชาติของข้าศึกก็ต้องมลาย รางวัลแจกจ่ายได้ตามชอบ เมื่อจะหยุดรบ ไม่ต้องรอคำสั่งจากเบื้องบน โจมตีด้วยกำลังทั้งปวง ใช้ทั้งกองทัพให้เหมือนใช้คนคนเดียว โจมตีด้วยทักษะ ไม่ต้องรายงานด้วยวาจา โจมตีเมื่อได้ประโยชน์ อย่าพูดถึงภัย ส่งทัพเข้ายุทธภูมิคับขัน แรกอาจซวนเซ แต่สุดท้ายกลับแข็งแกร่ง แม้ทัพใหญ่ยังอาจโชคร้าย แม้นตกเป็นรอง ยังเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะได้ ต้องใช้ความเชี่ยวชาญชำนาญศึก หากต้องการอยู่รอด ต้องปรับตัวให้ทันกับวัตถุประสงค์ของข้าศึก ต้องตามให้ติดทุกสถานการณ์ แม้พันลี้ยังไม่นับว่าไกล ยิ่งเข้าใจข้าศึกยิ่งเห็นทางได้แจ่มชัด จัดการฝ่ายบ้านเมืองให้ถูกต้อง ต้องลงมือตั้งแต่เริ่มทำสงคราม ปิดพรมแดน ฉีกใบผ่าน กั้นเส้นทางฑูต สยบการเมืองให้สิ้นซาก จุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามคือผู้คนของเขา มองให้เห็นแล้วรีบบุกไปตรงนั้น พึงยึดสิ่งอันเป็นที่หวงแหนของพวกเขา โดยต้องทำให้ไว ต้องพลิกชายแดนไล่ล่าศรัตรู ประเมินให้ถี่ถ้วนว่าควรลงมือโจมตีเมื่อใด การทำในสิ่งถูกตั้งแต่เริ่มสงครามก็เหมือนการเข้าหาอิสตรี ต้องให้คนของฝ่ายศรัตรูเป็นผู้เปิดประตู หลังจากนั้น เราจึงค่อยเคลื่อนไหวให้รวดเร็วเหมือนกระต่ายป่า ข้าศึกย่อมจะจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน