:::: MENU ::::

MYM

เรารักการแบ่งปัน

  • OfRKTf.md.png

    Sharing content

  • OfRwyb.md.png

    Sharing content

  • OfRZja.md.png

    Sharing content

30 กันยายน 2554

  • 15:07



ห้องนอนของพ่อกับแม่คือความฝันอันสูงสุดของพวกผม 
วันไหนถ้าได้เข้าไป มีความสุขจิงจิ๊ง


เหมียวตามีพ่อแล้ว เหมียวตาก็ยังมีแม่อีก
เหมียวตาสอนเสมอว่า พวกเรามีพ่อกับแม่คนเดียวกันนะ กี่รุ่นกี่รุ่นก็ต้องเรียกเหมือนกัน เหมียวตาเรียกนาย
ทั้งสองว่าพ่อกับแม่ แม่จ๋อย ลุงเจ๋งก็เรียกพวกเขาว่าพ่อกับแม่ มาถึงรุ่นแบ๊ซ แบ๊ซก็ต้องเรียกพ่อกับแม่อีก  
แต่แบ๊ซสงสัยตลอดเวลา และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง พ่อจะเป็นพ่อพวกเราได้ยังไงกันละครับเหมียวตา
กลับบ้านมาทีไรผมก็เห็นเขาทำแต่สวน ผมว่าเขาเหมาะจะเป็นคนสวนมากกว่า
แล้วแม่อะไรอยู่แต่ในครัว เป็นแม่ครัวแหงๆ วันๆ มีหน้าที่หาอาหารหาน้ำหาท่าให้พวกผมกิน
พวกผมอึก็ต้องคอยเก็บให้ อาบน้ำให้ คนรับใช้พวกเราชัดๆ 
เหมียวตาน่ะยกย่องเกินไปละ ไม่ถูกต้องนะครับ อันที่จริงแล้วพวกเราต่างหากที่เป็นนาย ว่าไหม๊ครับ

เวลาซนๆ ก็ดุพวกเรา ส่งเสียง จุ๊ๆ ห้ามโน่นห้ามนี่ อาไรกันตัวเป็นคนรับใช้แท้ๆ มาห้ามพวกเราได้ยังไง
แถมขู่ว่า ถ้าไม่เชื่อฟัง เดี๋ยวแม่จะป๊าบบบบ....แมวอีกแน่ะ
การ "ป๊าบบบบ...แมว" ถือเป็นวิธีลงโทษมาตรการสูงสุด โดยจะทำการขู่ เช่น กระโจนใส่ให้แมวกลัว
หรือหาไม้มาตีกระทบฟื้นป๊าบ ป้าบ ป้าบ พอพวกเราตกใจ ก็วิ่งกระเจิง
บางวันใจดีก็ปล่อยให้พวกเราวิ่งกันหูดับตับไหม้
วันไหนทนไม่ไหว หันมาบ่นใส่
ซนจริงๆ ลิงหรือแมว?
เหมียวตาตอบสวนกลับทันที “แม่ว”
(ก็แมวน่ะครับ)


รูปนี้เหมียวตาภูมิใจ นำเหนอ 
เพราะว่า 
หล่อเหมือนพิ๊งค์แพนเตอร์ คร๊าบบบ....

29 กันยายน 2554

  • 19:22
อาจ....เป็น....เพราะเรา คู่กันมาแต่ชาติไหน.....
ผมใช้เพลงเปิดตรงกับชื่อเรื่องไหม๊ครับ

ความจริงผมกำลังจะเล่าว่า
สามสี่วันก่อนที่เหมียวตาจะซัดเซพเนจรมาถึงบ้านนี้
นายผู้ชายของบ้าน (ซึ่งเหมียวตาขี้ตู่ไปเรียกเค๊าว่าพ่อน่ะ)
เขาไปเที่ยววัดพระธาตุศรีสองรักที่จังหวัดเลย
และไปเสี่ยงเซียมซีมาด้วย
คงกะขอหวยเต็มที่ เป็นคนนี่ก็แปลก
ถามเลขเอากับไม้ตะเกียบก็ได้ด้วย
เหมียวตาเล่าว่า ใบเซียมซีทำนายว่า
นาย “จะได้ลาภขาวเหลืองเรืองอนันต์”
นายก็กลับมาฝันหวานเป็นตุเป็นตะ
ไอ้ลาภขาวเหลืองนี่จะต้องเป็นเงินโบนัสหรือไม่ก็
ทองหยองสักบาทสองบาทแง๋ๆ
จนวันหนึ่ง ขณะที่พ่อของเหมียวตา (ก็นายนั่นแหล่ะ)
นั่งกินอาหารเช้าอยู่
เหมียวตาก็มาป้วนเปี้ยนถูตัวไปมากับขาพ่อ
พ่อเห็นก็ลูบหัวด้วยความเอ็นดู
เอ...ไอ้เหมียวนี่มันสีเหลืองปนขาวนะเนี่ย นึกว่าเป็นแมวเหลืองเฉยๆ ว่าแล้วก็ฉุกใจคิด
ลาภเลิบที่ไหนกัน สงสัยไอ้ลาภขาวเหลืองนี่มันจะเป็นแกซะละมั๊ง มาพอดิบพอดีเลยเนี่ยะ???

ฮ่าๆๆๆๆ เหมียวตาลอยหน้าลอยตาตอบ ก็ผมนี่แหล่ะ แมวคู่บารมีพ่อล่ะ ฮิฮิฮิ


 คืนวันหนึ่ง เหมียวตาเค๊างอนไม่ยอมกินข้าว

ถ่ายรูปอยู่ได้ แมวยิ่งงอนๆ อยู่

โอเค โอเค หายงอนก็ได้



กลับมากินเหมือนเดิม (ความจริงก็หิวละว๊า ทำเป็นงอน)

28 กันยายน 2554

  • 10:03
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะปฏิบัติภาระกิจสำคัญ เพื่อเป็นคนดีของโลก
ได้รับเมล์นี้ forward มาจากเพื่อนอีกทีหนึ่ง น่าสงสาร
Plastic bag free Please ( เป็นเมล์ที่เศร้ามาก มาก...)



อันนี้เป็นของที่นำมาจาก ท้องของนก อัลบาทรอสตัวหนึ่ง จากหลายๆตัว
ลองสังเกตไฟแช็คในท้องดู ว่าอันเดียวกันหรือเปล่า.. กินไปหลายอัน



ตายกันหลายตัวเลยเพราะกินมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่นกไม่รู้เรื่องก็ป้อนมาเรื่อย นึกว่าเป็นพวก ลูกไม้ต่างๆ


ตายเยอะ เพราะ หากินแถวนี้ พ่อแม่นกก็ป้อนให้แต่เด็กเลย




 สายหูหิ้วรัดคอตาย



 สัตว์หลายตัวต้องพิการเพราะ วงพลาสติกที่เปิดขวด 


6 แพ็ค
ห่วงที่ใช้ pack กระป๋อง(เบียร์) แบบ 6วง


ภายในท้องปลาวาฬ minke ที่ตายเพราะในท้องมีแต่ถุงพลาสติก

 
แต่งตัวสวย แล้ว ก็มาถือกระเป๋าผ้า สวยๆกันดีกว่า
เวลาไป 7-11 ซื้อของ 2-3 อย่าง ก็ถือออกมาเลย ไม่ใส่ถุงพลาสติก
เค้าก็ทำหน้างงๆ เลยบอก โลกร้อนน่ะน้อง
รูปรวมมาจากหลายๆเวป ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้จดไว้ ให้เครดิตทุกภาพ
โดยเริ่มจากเวปนี้แล้ว link ไปเรื่อยๆ



http://www.plasticbagfree.com/iframe_facts.php
ถ้าเพื่อนๆ อ่านกระทู้นี้จบแล้ว

ไปเตรียม ถุงผ้า สวยๆ ตะกร้า หรือกระเป๋าอะไรก็ดี
ที่จะช่วยให้ใช้ถุงพลาสติกน้อยลง

เรามีกันหลายคน คนละนิด ละหน่อย มันก็ effect โลกให้น่าอยู่ขึ้นมา

โลกเราเอง อยู่กันเอง พอตายไป ก็ลูกหลาน และคนที่เรารักมาอยู่ต่อ
เรื่องเล็กน้อย ช่วยๆกัน ก็กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้นะคะ

27 กันยายน 2554

  • 21:17
บ้านที่พวกผมอยู่มีเหมียวตาเป็นเจ้าของ เพราะเหมียวตามาอยู่ก่อนใคร
เหมียวตาเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งในฤดูร้อนปี 2006 เหมียวตากำลังหิวข้าวเพราะหลงทางมา
จากไหน (ก็จำไม่ได้แล้ว) เหมียวตาสอนว่า เราเป็นแมว มีสมาธิสั้นหลงทางจึงไม่ผิด
วันนั้นเที่ยวเพลินไปหน่อย ความจิงคงมีบ้านอยู่แล้วแหล่ะ แต่เหมียวตาจำทางกลับไม่ได้
อาทิตย์ก็ตกดินมืดแล้วด้วย เดินไปเดินมาก็มาพบบ้านหลังนี้แหล่ะ เห็นมีคนทำสวนชายหญิงอยู่สองคน  มืดๆ ค่ำๆ ไม่เข้าบ้านมัวทำไรกันอยู่ เหมียวตาก็เลยลองตะโกนถาม มีใครอยู่บ้างไหมครับ
ร้องเมี๊ยวๆ อยู่สักพัก
คนสวนทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วถามว่า ได้ยินเสียงอะไรไหมเสียงเหมือนแมวร้อง
ก็แหมจะไม่ให้เหมือนได้ไง ก็แมวจิงๆ ตัวเป็นๆ นี่แหล่ะ
คนสวนเกิดความสงสัยบ้านกลางทุ่งกลางป่าแบบนี้มีแมวมาร้องได้ยังไง
สักพักผู้หญิงก็วิ่งเข้ามาหา เหมียวตาก็ไม่ไว้วางใจ แต่พอเขาเอาอาหารให้กินเท่านั้น
ก็ลืมไปเสียสนิท แถมยอมให้เขาลูบหัวลูบตัวอีก กินอิ่มก็เตรียมจะหาทางกลับต่อ แต่ว่าง่วงละ

เหมียวตาเห็นว่าบ้านหลังนี้น่าอยู่ดี สะอาดสะอ้าน สวยงามพอใช้ บรรยากาศดี โรแมนติกนิดๆ
ก็เลยตัดสินใจเอาเป็นบ้านของตัวเอง ว่าแล้วก็ยืดตัวถูไถไปมารอบๆ บริเวณ
ถูแข้งถูขายึดเอาคนสวนสองคนนั้นมาเป็นเจ้าของของตัว
เหมียวตาเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า แม่ และเรียกคนสวนผู้ชายว่า พ่อ เอ๊ะ ก็พวกเขาไม่มีขนและสี่ขาเหมือนพวกเรานี่นา จะเรียกพวกเค๊าเป็นพ่อกับแม่ได้ไงละฮะเหมียวตา

เหมียวตาตอนมาอยู่บ้านนี้ใหม่ๆ อายุประมาณสี่เดือน


27/9/2011@21:13
  • 19:12
คำนำที่ต้องอ่าน
คุณครับอ่านก่อนก็ดีนะครับ จะได้รู้ว่าเรื่องสั้นต่อไปนี้ผมเขียนขึ้นมาจากเรื่องจริงในชีวิตประจำวันของผมเอง
ไม่ได้อ่านนิยายหรือลอกเลียนของใครเขา รับรองว่าเป็นเรื่องสั้นเรื่องเดียวในโลกที่ตัวละครยังมีตัวตนอยู่จริง
ท้าพิสูจน์....
ผมจะอวดให้ทุกคนเห็น (ขี้อวดซะด้วย) ว่าชีวิตของผม อยู่อย่างไรให้ผาสุข
และราบรื่นขนาดไหน
เผื่อใครๆ จะอิจฉา อยากเกิดมาเป็นแมวๆ อย่างผมมั่งก็ได้
เขียนไม่เก่งครับ แต่อยากเขียน
จบดื้อๆ ครับ
แบ็ด แบ๊ซ มารุ
วันที่ 27 ก.ย.2554

อะแฮ้ม ก่อนอื่นขอแนะนำตัวละครก่อนนะครับ
คนแรก เอ้ย ตัวแรกครับ

เหมียวตาครับ
เหมียวตาเป็นแมวสีเหลืองครับ น้ำหนักประมาณ 6 กก.
หน้าเหมือนดารามาก ถ้าเป็นฝรั่งใครๆ ก็เรียกว่าการ์ฟิวล์
แต่ถ้าเป็นญี่ปุ่นใครๆ ก็เรียกเขาว่า ไมเคิลหรือ ไม๊เครุครับ
ใช่ๆๆๆ ผมเป็นหลานชายสุดเลิฟของเขา แต่ก่อนนายเรียกว่า
น้องเหมียว เหมียว แล้วก็ไอ้เหมียว (ตามอารมณ์)
ต่อมาพอมีลูก เขาก็กลายเป็นเหมียวพ่อ
ตอนนี้มีหลานแล้วก็เลยกลายเป็นเหมียวตาครับ
เป็นไงครับ เหมียวตาของผม เท่ห์มว๊ากกก ไหมครับ 
รูปนี้ถ่ายขณะรับลมอยู่หน้าบ้านยามเย็นดูพระอาทิตย์ตกดินครับ

แม่จ๋อย
แม่จ๋อยลูกสาวของเหมียวตาครับ แม่จ๋อยเป็นแมวสามสี หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม
เสียงร้องหวานๆ ค่อยๆ แบบผู้ดีมีสกุลทุกกระเบียดนิ้ว นายเลยตั้งชื่อว่า หวานจ๋อยครับ
แต่ขี้เกียจเรียกเต็มๆ (ไม่รู้จะตั้งทำไมซะยาวงั้น) เรียกแต่ว่า นังจ๋อย
แม่จ๋อยเป็นแม่ของผมเองครับ
แม่จ๋อยมีพี่ชายอีกหนึ่งตัวชื่อลุงเจ๋งครับ

รูปแม่จ๋อยครับ 


ลุงเจ๋ง
ลุงเจ๋งลูกชายตัวเดียวของเหมียวตาครับ สีและรูปร่างเหมือนพ่อกับแม่เลย
ความจริงชื่อ เจ๋งเป้ง แต่ก็อีกแหล่ะ นายตั้งชื่อให้แล้วไม่เรียกเต็มยศ
ไม่รู้จะตั้งทำไมยาวๆเรียกหาทีไรก็เรียกแต่ เจ๋ง เจ๋ง เจ๋ง
จนเดี๋ยวนี้เจ๋งมากสามารถแยกออกไป
มีครอบครัวเป็นของตัวเองหายไปจากบ้านนานแล้วครับ

นี่คับรูปลุงเจ๋ง ท่านใดพบเห็นกรุณาส่งคืนที่บ้านผมด่วนเลยครับ 


ตัวสุดท้าย คู่ปรับของผมเองครับ
ยายแหวว
แมวตัวเมียสีเหลือง ปากมอมแมม ไม่มีเจ้าของเป็นแมวพเนจร
ความจริงผมไม่อยากนับญาติด้วยเลยทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอเป็นเหมียวยายของผมเอง
แต่คุณยายตัวนี้นิสัยไม่ดี นายเลยชอบเติมนามสกุลให้ว่า
"นังแหวว แมวขี้ขโมย" ครับ ผมเกลียดคนขี้ขโมย เพราะชอบมาขโมยกินอาหารของผม

นี่ครับ แมวขี้ขโมยหน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง 

แนะนำตัวละครกันแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะสับสนจำพวกผมไม่ได้
อ้อ...ตายละ ลืมแนะนำพระเอก หุหุ...เขิลลล...
มิสเตอร์ แบ็ด แบ๊ซ มารุ ครับ
ผมเป็นพระเอกนะครับ มีสามสีเหมือนแม่จ๋อย
นายว่าผมหน้าตาเหมือนดาราญี่ปุ่นผสม Batman
เลยตั้งชื่อให้ว่า Bad Baz Maru ครับ
เวลาเรียก กรุณาเรียกแบ๊ซตัวหลังนะครับ
อย่าเรียกตัวหน้า ผมเรียนภาษาอังกฤษมา ผมรู้นะครับว่าแบ๊ดตัวแรกแปลว่า แบ๊ดบอย

รูปร่างของผมจะเหมือนแม่จ๋อยมาก ต่างกันตรงที่ผมใส่ถุงเท้าสีขาว แต่แม่จ๋อยใส่สีดำครับ

27/09/2011@ 19:11
  • 16:21

ให้ลองเขียนคำว่า ฉันต้องการความสุข แล้วให้ตัดคำว่า ฉัน ออกไป
คำว่า ฉัน นี่คือ ตัวกูของกู หลวงพ่อพุทธทาสบอก ให้ตัดตัวกูของกูออกแล้วจะอยู่ง่ายๆ อย่างมีความสุข
อย่าไปยึดมั่นมันเกินไปนะ ฉันคือตัวกู แล้วตัดคำว่า ต้องการ ออกไปอีก

คำว่า ต้องการ มันก็คือกิเลสที่ซ่อนอยู่ ก็ให้ตัดคำว่า ต้องการออกไป เหมือนตัดกิเลส ตัดความอยาก
ความต้องการออกไป สุดท้ายเหลืออะไร ความสุข ใช่ไหม ขาดอีกสองพยางค์คืออะไร จังเลยไงหล่ะ
ทุกวันนี้หลายคนบอกมีความสุข ขับรถเก๋งหรูๆ อย่าไปเชื่อ หนี้ทั้งนั้นแหล่ะ ติดหนี้กันทั้งนั้น
หลอกตัวเองว่ามีความสุข

บางคนเครียดง่ายเหลือเกิน เกิดความทุกข์ง่ายมากๆ ขับรถไปบนถนน รถตัวเองไปจอดเทียบกับรถของคนอื่น ความทุกข์เกิดทันที โห...ทำไมรถของเราเก่าจัง เกิดความทุกข์เลย อย่างนี้เรียกว่า ยึดมั่นถือมั่น แต่จะรู้มั๊ยว่า รถเราเก่าเพราะอะไร รถเราเก่าเพราะว่า ใช้มานานแล้ว ไม่ได้ล้าง ใช่มั๊ย
 รถเราเก่าเพราะรถข้างๆ กันที่จอดเทียบกับเราเป็นรถรุ่นใหม่กว่า

เคยถามบรรยาผู้หญิงผู้ชายว่า สามีและภรรยาเราเก่าเพราะอะไร
มีบางคนตอบมาว่า เมียเราเก่าเพราะใช้งานมานานแล้วครับ
เฮ้อ....เล่นพูดซะอย่างนั้น เห็นภาพเลยนะ

วาตภัยลมพัดใบไม้ไหว เราจะเห็นว่าเป็นวาตภัย อุทกภัยก่อนจะมานี่น้ำซึมๆ ก่อนนะ
ทำให้เรารู้ล่วงหน้าว่าจะมีอุทกภัย อัคคีภัยรู้ก่อนเพราะเห็นควันโขมง ถึงได้รู้ว่าเป็นอัคคีภัย

แต่....กิ๊กกะภัยนี่สิ มันมาแบบไม่รู้ตัวเลย มันจะย่องมาแบบเงียบๆ โผล่บ้านไหนบ้านนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ
ถึงกับบ้านแตกสาแหรกขาดเลยเชียว “ที่ใดมีกิ๊กที่นั่นมีกรรม”
เพราะว่ากรรมจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่ภรรยาจับได้ว่ามีกิ๊ก
ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เพราะฉะนั้น อย่าไปที่นั่น ให้ไปที่ใด
เพราะว่าไปที่ใดจะมีรัก แต่ไปที่นั่นจะมีทุกข์


จากหนังสือธรรมะฮาเฮ หน้า 28-29
พระมหาสมปอง  ตาลปุตโตและทีมธรรมะเดลิเวอรี่



25 กันยายน 2554

  • 16:35
มีลูกอูฐกับแม่อูฐอยู่คู่หนึ่ง วันหนึ่งลูกอูฐถามแม่ด้วยความสงสัยว่า “แม่ครับๆ เรามีนิ้วเท้าไว้ทำไมครับ” แม่อูฐยิ้มอารมณ์ดีแล้วตอบลูกไปว่า “อ๋อ...เรามีนิ้วเท้าเอาไว้เดินในทะเลทรายงัยลูก ทะเลทรายมันร้อนนะลูกนะ”
ลูกอูฐยังไม่หายสงสัยถามต่อว่า “แล้วเรามีขนตายาวๆ นี่เอาไว้ทำไมครับแม่” แม่อูฐกะพริบขนตายาวแล้วตอบลูกว่า “ขนตายาวๆ นี่เหรอลูก เรามีเอาไว้ป้องกันทรายงัยล่ะลูก เวลามีพายุทรายพัดมา ขนตายาวๆ นี่แหละมันจะสามารถป้องกันทรายไม่ให้เข้าตาเราได้จ๊ะลูก”


“เอ๋อ...แล้วหนอกสองอันบนหลังเรานี่ละครับแม่ มันมีไว้ทำไม” คำถามที่สงสัยยังมีมาต่อเนื่อง แม่อูฐตอบง่ายๆ ไปว่า “นี่คือสิ่งสำคัญสำหรับอูฐอย่างเราเลยนะลูกจ๋า เรามีหนอกสองอันเอาไว้เก็บน้ำงัยลูก” ลูกอูฐก้มหน้ามองพื้นแล้วพูดทบทวน “เรามีนิ้วสามนิ้วนี้เอาไว้เดินในทะเลทราย เรามีขนตายาวสวยนี้เอาไว้ป้องกันทรายเข้าตา แล้วเรายังมีหนอกสองอันนี้เอาไว้เก็บน้ำ เวลาที่เราเดินข้ามทะเลทรายใช่มั๊ยครับแม่”


“ใช่เลยลูก ใช่แล้ว” แม่อูฐดีใจที่ลูกเข้าใจรีบตอบลูกอูฐไปว่า “เรามีหนอกสองอันนี่เอาไว้เดินข้ามทะเลทราย”
ลูกอูฐเงยหน้ามองแม่แล้วนำหน้าเซ็งๆ “แล้วนี่เรามาทำบ้าอะไรที่สวนสัตว์นี่ละแม่ ผมละโคตรเซ็งเลยแม่” ลูกอูฐบ่น แม่อูฐทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วตอบลูกไปว่า “ไม่ต้องมาพูดย้ำหรอกลูก แม่ก็โคตรเซ็งเหมือนกันแหละลูกเอ๊ย”

นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า การที่คนเรามีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่นั้นเป็นอย่างไร ฉะนั้นถ้าคนเราพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้ พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองเลือกแล้ว เราก็จะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด

จากหนังสือธรรมะฮาเฮ หน้า 25-26
พระมหาสมปอง  ตาลปุตโตและทีมธรรมะเดลิเวอรี่
ขอบคุณภาพจาก kapook.com ค่ะ
A call-to-action text Contact us