09 พฤษภาคม 2558
14 มีนาคม 2558
- 22:04
ทำอย่างไรดี... เมื่อตั้งท้องแล้วตกขาว
ตั้งท้องแล้วตกขาว |
รศ.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร
ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
หญิงตั้งท้องหลายคนอาจกังวลเมื่อเกิดอาการตกขาวขึ้น และจะมีผลต่อเนื่องไปถึงลูกในท้องหรือไม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการอักเสบติดเชื้อ เรามาดูกันครับ
แบบนี้ตกขาวปกติ
จริง ๆ แล้ว การมีตกขาวนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมชาติของผู้หญิงทุกคน เนื่องจากในบริเวณช่องคลอดและปากมดลูกนั้น จะมีการสร้างสารคัดหลั่งเพื่อหล่อเลี้ยงและหล่อลื่นช่องคลอดอยู่ตลอดเวลา สารคัดหลั่งเหล่านี้แหละที่คุณผู้หญิงทุกคนมีและถือว่าเป็นตกขาวที่ปกติ ลักษณะของตกขาวปกติ จะเป็นมูกใสหรือขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก ปริมาณไม่มากนัก อาจมีทุกวัน วันละเล็กน้อย เรื่องของลักษณะและปริมาณของตกขาวนั้นขึ้นกับอิทธิพลของฮอร์โมนในร่างกายด้วย
ในช่วงที่ยังไม่ตั้งท้อง คุณแม่อาจเคยสังเกตว่าลักษณะและปริมาณของตกขาวนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามรอบประจำเดือน โดยเฉพาะในช่วงกลางรอบประจำเดือน หรือช่วงไข่ตกนั้น ตกขาวจะเป็นมูกใส เหนียว ยืดได้ดี และมีปริมาณมากขึ้นกว่าในช่วงอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง ช่วงที่ตั้งท้องก็เช่นเดียวกันครับ ฮอร์โมนจะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิงจะสูงขึ้นกว่าปกติ ซึ่งแน่นอนว่ามีผลต่อลักษณะและปริมาณของตกขาวปกติด้วย คงจะพอเดาได้นะครับว่าช่วงที่ตั้งท้องนั้นจะมีตกขาวออกมาปริมาณมากกว่าปกติ แต่ก็ถือว่าเป็นปกติครับ ฟังดูแล้วอาจสับสนบ้างเล็กน้อยนะครับ "มากกว่าปกติ" แต่ "ปกติ" แต่ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ คือจะมีตกขาวที่เป็นปกติออกมามากกว่าเดิมครับ
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในช่วงตั้งท้องนี่แหละครับที่ทำให้คุณแม่หลายคนเกิดความกังวลใจ คิดว่าเกิดความผิดปกติขึ้นกับตัวเอง และบางรายอาจกังวลไปถึงว่าจะมีผลต่อลูกในท้องอีกด้วย คุณแม่บางคนจะบ่นให้คุณหมอฟังเกือบทุกครั้งที่มาฝากท้อง แต่พอตรวจแล้วก็ปกติทุกที แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี "ปกติ" ก็คือปกติแหละครับ ไม่มีอะไรผิดปกติทั้งสิ้น ไม่ว่ากับตัวคุณแม่เองหรือลูกในท้อง รู้อย่างนี้แล้วคงจะสบายใจขึ้นมาบ้างนะครับ
แต่ใช่ว่าจะไม่ต้องสนใจตัวเองโดยเฉพาะเรื่องตกขาวระหว่างตั้งท้องเลยนะครับ ที่ควรจะต้องคอยดูแลตนเอง ก็คือ คอยสังเกตว่าตกขาวที่ออกมานั้นมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ อย่างไร
07 กุมภาพันธ์ 2558
- 11:15
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ
การนอนหลับเป็นสาขาวิชาหนึ่งที่ได้รับความสนใจ และพูดถึงมาตั้งแต่ยุคสมัยของปรัชญากรีกตอนต้นที่ยังรุ่งเรืองอยู่ ถึงแม้จะมีความเป็นมาที่ยาวนาน แต่ก็เพิ่งจะมีการหันมาให้ความสนใจและเริ่มศึกษากันอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมมากขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เอง
เนื่องมาจากการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าของสมอง ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าไปศึกษาทำความเข้าใจการทำงานของสมองได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการศึกษาการทำงานของสมองในขณะที่เรานอนหลับ ทำให้ปัจจุบันเราเข้าใจกลไกของการนอนหลับได้มากกว่าเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะมีความก้าวหน้า และมีข้อมูลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการนอนหลับอยู่อย่างมากมาย เราสามารถศึกษาการเชื่อมโยงของปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนอนหลับ แต่ก็ใช่ว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์จะสามารถให้เหตุผลได้อย่างเห็นพ้องต้องกันทุกคนว่า ทำไมเราจึงต้องนอนหลับ
มีทฤษฎีที่แตกต่างกันที่พยายามนำเสนอเพื่ออธิบายความจำเป็นของการนอนหลับรวมไปถึงความต้องการในการนอนหลับ และกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในขณะที่เรานอนหลับอยู่มีอยู่ 3 ทฤษฎีหลักๆ ที่ได้รับการยอมรับ ที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เรามองเห็นภาพกว้าง ของการนอนหลับได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทฤษฎีที่ 1
ทฤษฎีที่ว่าด้วย การซ่อมแซมและการฟื้นฟู (Repair and Restoration Theory of Sleep)
ทฤษฎีนี้กล่าวว่า การนอนหลับเป็นความจำเป็นของร่างกายเพื่อช่วยในการฟื้นฟูกระบวนการทำงานต่างๆ ของร่างกายให้เป็นไปอย่างปรกติ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
ทฤษฎีนี้ยังระบุว่า การนอนหลับแบบนิ่งเฉย (N-REM) มีความสำคัญมากสำหรับการฟื้นฟูสภาพการทำงานของร่างกาย ในขณะที่การนอนหลับแบบตื่นตัว (REM) มีความสำคัญมากสำหรับการฟื้นฟูสภาพการทำงานของ จิตใจ
สำหรับข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยค้นคว้าเพื่อสนับสนุนทฤษฎีนี้ แสดงให้เห็นว่าช่วงระยะเวลาของการหลับแบบ REM จะทำให้ร่างกายได้พักผ่อนน้อยลง เนื่องจากร่างกายยังคงมีกิจกรรมบางอย่างเกิดขึ้น ในขณะที่ยังหลับที่เราเรียกกันว่า “ความฝัน”
สำหรับภาพรวมระหว่างการนอนหลับนั้น สิ่งที่ร่างกายทำก็คือ จะเป็นช่วงเวลาที่มีการเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ และเกิดกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน (Protein Synthesis) ซึ่งมันจะช่วยให้ร่างกายได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพ จากการที่ต้องทำงานมาตลอดวัน
การนอนหลับเป็นสาขาวิชาหนึ่งที่ได้รับความสนใจ และพูดถึงมาตั้งแต่ยุคสมัยของปรัชญากรีกตอนต้นที่ยังรุ่งเรืองอยู่ ถึงแม้จะมีความเป็นมาที่ยาวนาน แต่ก็เพิ่งจะมีการหันมาให้ความสนใจและเริ่มศึกษากันอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมมากขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เอง
เนื่องมาจากการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าของสมอง ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าไปศึกษาทำความเข้าใจการทำงานของสมองได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการศึกษาการทำงานของสมองในขณะที่เรานอนหลับ ทำให้ปัจจุบันเราเข้าใจกลไกของการนอนหลับได้มากกว่าเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะมีความก้าวหน้า และมีข้อมูลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการนอนหลับอยู่อย่างมากมาย เราสามารถศึกษาการเชื่อมโยงของปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนอนหลับ แต่ก็ใช่ว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์จะสามารถให้เหตุผลได้อย่างเห็นพ้องต้องกันทุกคนว่า ทำไมเราจึงต้องนอนหลับ
มีทฤษฎีที่แตกต่างกันที่พยายามนำเสนอเพื่ออธิบายความจำเป็นของการนอนหลับรวมไปถึงความต้องการในการนอนหลับ และกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในขณะที่เรานอนหลับอยู่มีอยู่ 3 ทฤษฎีหลักๆ ที่ได้รับการยอมรับ ที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เรามองเห็นภาพกว้าง ของการนอนหลับได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
Repair and Restoration Theory of Sleep |
ทฤษฎีที่ว่าด้วย การซ่อมแซมและการฟื้นฟู (Repair and Restoration Theory of Sleep)
ทฤษฎีนี้กล่าวว่า การนอนหลับเป็นความจำเป็นของร่างกายเพื่อช่วยในการฟื้นฟูกระบวนการทำงานต่างๆ ของร่างกายให้เป็นไปอย่างปรกติ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
ทฤษฎีนี้ยังระบุว่า การนอนหลับแบบนิ่งเฉย (N-REM) มีความสำคัญมากสำหรับการฟื้นฟูสภาพการทำงานของร่างกาย ในขณะที่การนอนหลับแบบตื่นตัว (REM) มีความสำคัญมากสำหรับการฟื้นฟูสภาพการทำงานของ จิตใจ
สำหรับข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยค้นคว้าเพื่อสนับสนุนทฤษฎีนี้ แสดงให้เห็นว่าช่วงระยะเวลาของการหลับแบบ REM จะทำให้ร่างกายได้พักผ่อนน้อยลง เนื่องจากร่างกายยังคงมีกิจกรรมบางอย่างเกิดขึ้น ในขณะที่ยังหลับที่เราเรียกกันว่า “ความฝัน”
สำหรับภาพรวมระหว่างการนอนหลับนั้น สิ่งที่ร่างกายทำก็คือ จะเป็นช่วงเวลาที่มีการเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ และเกิดกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน (Protein Synthesis) ซึ่งมันจะช่วยให้ร่างกายได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพ จากการที่ต้องทำงานมาตลอดวัน
20 มกราคม 2558
- 22:40
เรามีความต้องการในการนอนวันละกี่ชั่วโมง
ไม่ได้มีการเฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนเราต้องการเวลาในการนอนเท่าไร เนื่องจากว่าเป็นเรื่องขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ผลจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ บ่งบอกให้เราทราบว่า คนเราต้องการเวลาในการนอนอยู่ในช่วงระหว่าง 5-17 ชั่วโมง เป็นการรวบรวมมาจากทุกเพศทุกวัย แต่ถ้าจะให้เฉลี่ยออกมาแล้ว ก็จะอยู่ที่ประมาณ 7.75 ชั่วโมง ตามที่เรามักจะได้รับคำแนะนำว่า คนเราควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง...นี่เป็นตัวเลขที่เรารับรู้กันมาตลอด
ระยะเวลาการนอนที่เหมาะสมควรเป็นเท่าใด?
จำเป็นมั้ย ที่เราจะต้องนอนให้ได้เพียงพอวันละ 8 ชั่วโมง จะมากจะน้อยกว่านี้ได้มั้ย?
จากการศึกษาวิจัยของ Jim Horne ที่ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการนอนหลับในศูนย์วิจัยการนอนหลับที่ Loughborough University เขาได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “จำนวนชั่วโมงของการนอนที่พวกเราต้องการ คือจะต้องไม่ทำให้เรารู้สึกง่วงเหงาหาวนอนในเวลากลางวัน”
นอกจากมนุษย์ที่มีความต้องการในการนอนที่แตกต่างกันออกไปแล้ว สัตว์แต่ละชนิดก็มีความต้องการในการนอนที่แตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน
ไม่ได้มีการเฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนเราต้องการเวลาในการนอนเท่าไร เนื่องจากว่าเป็นเรื่องขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ผลจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ บ่งบอกให้เราทราบว่า คนเราต้องการเวลาในการนอนอยู่ในช่วงระหว่าง 5-17 ชั่วโมง เป็นการรวบรวมมาจากทุกเพศทุกวัย แต่ถ้าจะให้เฉลี่ยออกมาแล้ว ก็จะอยู่ที่ประมาณ 7.75 ชั่วโมง ตามที่เรามักจะได้รับคำแนะนำว่า คนเราควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง...นี่เป็นตัวเลขที่เรารับรู้กันมาตลอด
ระยะเวลาการนอนที่เหมาะสมควรเป็นเท่าใด?
จำเป็นมั้ย ที่เราจะต้องนอนให้ได้เพียงพอวันละ 8 ชั่วโมง จะมากจะน้อยกว่านี้ได้มั้ย?
จากการศึกษาวิจัยของ Jim Horne ที่ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการนอนหลับในศูนย์วิจัยการนอนหลับที่ Loughborough University เขาได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “จำนวนชั่วโมงของการนอนที่พวกเราต้องการ คือจะต้องไม่ทำให้เรารู้สึกง่วงเหงาหาวนอนในเวลากลางวัน”
นอกจากมนุษย์ที่มีความต้องการในการนอนที่แตกต่างกันออกไปแล้ว สัตว์แต่ละชนิดก็มีความต้องการในการนอนที่แตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน
วัยต่างๆ
ของมนุษย์
|
ความต้องการในการนอนหลับ
|
แรกเกิด – 2 เดือน
|
12 – 18 ชั่วโมง
|
3 – 11 เดือน
|
14 – 15 ชั่วโมง
|
1 – 3 ปี
|
12 – 14 ชั่วโมง
|
3 – 5 ปี
|
11 – 13 ชั่วโมง
|
5 – 10 ปี
|
10 – 11 ชั่วโมง
|
10 – 17 ปี
|
8.5 – 9.25 ชั่วโมง
|
ผู้ใหญ่
|
7 – 9 ชั่วโมง
|
ข้อมูลจาก National Sleep Foundation USA
สายพันธุ์ต่างๆ
ของสัตว์
|
ความต้องการในการนอนหลับ
|
งูเหลือม
|
18 ชั่วโมง
|
เสือ
|
15.8 ชั่วโมง
|
แมว
|
12.1 ชั่วโมง
|
ลิงชิมแปนซี
|
9.7 ชั่วโมง
|
แกะ
|
3.8 ชั่วโมง
|
ช้างแอฟริกา
|
3.3 ชั่วโมง
|
ยีราฟ
|
1.9 ชั่วโมง
|
ข้อมูลจาก Jim Horn: Loughborough University’s Sleep Research
04 มกราคม 2558
- 12:20
การนอน ทำไมเราถึงต้องนอน? |
“เราใช้เวลา 1/3 ของชีวิตไปกับการนอน”
“นโปเลียน, ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล และมาร์กาเรต เทตเชอร์ นอนคืนละ 4 ชั่วโมง”
“โธมัส อัลวา เอดิสัน บอกว่า การนอนทำให้สิ้นเปลืองเวลาโดยเปล่าประโยชน์”
แล้วทำไมเราต้องนอน?นี่เป็นคำถามที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ยังคงงุ่มง่ามในการหาคำตอบ และยังไม่สามารถไขความกระจ่างให้ได้นับเป็นศตวรรษแล้ว
บ้างก็เชื่อว่าการนอนจะทำให้ร่างการของเราได้มีโอกาสที่ดีในการฟื้นคืนสภาพ จากกิจกรรมต่างๆที่ต้องทำมาตลอดทั้งวัน แต่ในความเป็นจริงแล้วพลังงานที่เราได้ฟื้นคืนมาจากการนอนหลับพักผ่อน ถ้าคำนวณออกมาแล้วก็จะมีค่าประมาณ 50 กิโลแคลอรี่เท่านั้นเอง ซึ่งเทียบเท่ากับพลังงานที่เราได้จากการกินขนมปังเพียงหนึ่งแผ่นเท่านั้นเอง...ไม่น่าเชื่อใช่มั้ย
บ้างก็เชื่อว่าการนอนของคนเราในเวลากลางคืน ก็เพื่อให้จิตใต้สำนึกได้ทำการเรียบเรียงจัดลำดับความนึกคิดต่างๆที่เราได้รับเข้ามาตลอดทั้งวันที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้จัดวางความคิดบางเรื่องให้อยู่ในความทรงจำได้นานๆ
บางความเชื่อก็ว่า เรานอนหลับเพราะว่าเป็นความจำเป็นของร่างกายที่จะต้องทำการซ่อมบำรุงระดับของทักษะในการจดจำเรียนรู้ เช่น การพูด การจำ การคิดอะไรใหม่ๆ และเพื่อให้เกิดการยืดหยุ่นทางความคิด เพื่อการปรับตัวให้เหมาะสมในการดำรงชีวิต หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ...การนอนมีบทบาทสำคัญต่อการรักษา พัฒนา และคงไว้ซึ่งความสามารถของสมองนั่นเอง...การนอนมีประโยชน์แน่นอน ถ้านอนอย่างพอดี
ในการนอนหลับของคนเรานั้น อวัยวะที่ทำหน้าที่แสดงบทบาทสำคัญเป็นพระเอกก็คือสมอง หาใช่ตา หรืออวัยวะส่วนอื่นของเรา เพราะแม้ว่าคนเราจะหลับ แต่สมองของเราก็คงยังทำงานอยู่ตลอดนั่นเอง
ก่อนตอบคำถามว่า ทำไมเราต้องนอน?
เราต้องทำความเข้าใจการทำงานของสมองกันหน่อย
สำหรับสมองของเรา ว่ากันโดยย่อ...สมองของคนเราประกอบด้วยเซลล์ประสาทอยู่มากมายนับล้านๆ เซลล์ แต่มีเซลประสาทอยู่ชนิดหนึ่งเรียกว่า นิวรอน Neuron อยู่จำนวนมากมาย นับเป็นพันล้านเซลล์ ที่สำคัญเซลล์เหล่านี้จะมีการเชื่อมโยงติดต่อถึงกันเหมือนถนนที่มีการเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย เพื่อการคมนาคมขนส่งและเชื่อมโยงไปตามส่วนต่างๆได้อย่างทั่วถึง โดยนิวรอนจะทำหน้าที่เป็นช่องทางการขนส่งอนุภาคทางไฟฟ้า ผ่านเยื่อเซลล์ เช่น เมื่อเซลล์ประสาทส่วนหนึ่งได้รับการกระตุ้น จากสารเคมีที่ร่างกายผลิตออกมา นิวรอน จะปล่อยอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าให้เดินทางไปตามใยประสาท Nerve Fiber ที่เชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท ไปกระตุ้นเซลล์ประสาทถัดไปให้ปล่อยประจุไฟฟ้าต่อไปเป็นทอดๆ