:::: MENU ::::

MYM

เรารักการแบ่งปัน

  • OfRKTf.md.png

    Sharing content

  • OfRwyb.md.png

    Sharing content

  • OfRZja.md.png

    Sharing content

16 สิงหาคม 2552

  • 12:58
...
ลองมองดู ผู้คนรอบตัวเรา
มีแต่คนที่ต้องการ มีสุขภาพดี อายุยืนยาว

การมีชีวิตอยู่ของคนส่วนมาก ไม่ได้อยู่ด้วยการเกื้อกูล
เพื่อจะได้ใช้ชีวิต ร่วมกัน ได้อย่างสมดุล
ระหว่าง สรรพชีวิต และทรัพยากรที่มีอยู่
ในทางตรงข้าม คนเรามุ่งเน้นไปที่ การ มีสุขภาพดี อายุยืนยาว

ทำให้เป็นตัวเร่ง การบริโภค อุปโภค
จนข้ามความจำเป็นที่ร่างกายต้องการจริงเพื่อการอยู่รอด
สรรพชีวิต สรรพสัตว์ ทรัพยากร ถูกบริโภคย่างทำลาย
เพื่อ การ มีสุขภาพดี อายุยืนยาว

เราผลาญสรรพชีวิต สรรพสัตว์ ทรัพยากร เพื่อเป็นอาหารเสริม
ด้วยความคิด ความเชื่อที่ว่า จะได้มีสุขภาพดี อายุยืนยาว
ออกไปอีก สิบปี ยี่สิบปี

จะมีสุขภาพดี อายุยืนยาว ไปทำไมกัน
ถ้าเราไม่สามารถ ดูแล สรรพชีวิต สรรพสัตว์ ทรัพยากร
ให้ได้ใช้ชีวิต ร่วมกัน ได้อย่างสมดุล

ชีวิตที่ดี อยู่ที่การ มีสุขภาพดี อายุยืนยาว
หรือว่าอยู่ที่ การที่เราได้มีชีวิตอยู่ในแบบที่ควรเป็น และเป็นไปด้วยการเกื้อกูลกัน
เพื่อจะนำไปสู่ความสมดุลของ สรรพชีวิต สรรพสัตว์ ทรัพยากร
อย่างที่ธรรมชาติควรเป็น และชีวิตควรเป็น

ลองถามตัวเองดู
ตัวเองป็นคนเช่นไร
ช่วงที่มีชีวิตอยู่ประกอบกรรมแบบไหน
จะมีอายุยืดออกไปอีกสิบปี ยี่สิบปี เืพื่ออะไร

13 สิงหาคม 2552

  • 19:57
ในวัยเด็ก เราเติบโตขึ้นมา
กับชีวิตที่เต็มไปด้วยความฝันที่หลากหลาย
แต่พอวันเวลาผ่านล่วงเลย
ความฝันที่หลากหลาย มันหายไปไหนหมด

คนบางคนเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการมีฝัน
และพยายามทำความฝันให้เป็นจริง
แม้มันจะไม่สำเร็จ จนวันตาย
ก็ยังดีกว่าคนที่ ตายไป ด้วยการไม่ได้ทำอะไรเลย

กล้าฝัน
กล้าทำ
ไม่จำเป็นว่ามันจะสำเร็จหรือไม่
การได้ลงมือทำนั้นต่างหากที่ถือว่า เป็นความสำเร็จ

ถ้าหากว่าคุณ มีฝัน
จงลงมือทำ
คุณนี่แหละ คือ คนที่ผมอยากเรียกว่า ฮีโร่

...เซียมซี

11 สิงหาคม 2552

  • 16:17
เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร... เตรียมตัวเองให้พร้อมอย่างไร... ในแต่ละวัยของชีวิต อย่าปล่อยให้ผ่านไป โดยไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย...วันข้างหน้า เราจะได้ไม่ต้องเสียใจ เมื่อหวนนึกถึง...การเดินทางไปสู่ความตาย เป็นเรื่องจริง ต้องเตือนสติตัวเอง...อย่างลุ่มหลงมากนัก เอาแต่พอประมาณ ให้พอเหมาะพอดี กับตนเอง..."Small is beautiful... เล็กๆ แต่ งดงาม"...
..............................................................................

10 สิงหาคม 2552

  • 13:21
โดย เซียมซี










ความ สุข เป็นสุดยอดปรารถนา ของทุกคน
แต่ว่าคนเราสามารถแสวงหาความสุข ให้กับตัวเองได้ ไม่เท่ากัน

อีกทั้ง ความพึงพอใจในความสุข ของแต่ละคนก็ แตกต่างกัน

ความสุขที่คนแสวงหา มีรูปแบบแตกต่างกัน ... ตามจริต... ตนเอง
  • ความสุขแบบพุทธนิยม เป็นความสุข ที่เกิดจากการได้ปฏิบัติธรรม รักษาศีล เจริญภาวนา ทำให้จิตใจสงบ
  • ความสุขแบบธรรมชาตินิยม เป็นความสุขที่ เกิดจากการได้สัมผัสธรรมชาติ ได้ท่องเที่ยว
  • ความสุขแบบวัตถุนิยม เป็นความสุขที่มีกิเลสเจือปนมาก เป็นความต้องการ อยากได้โน่น-อยากได้นี่
ธรรมชาติของมนุษย์เรา

"มีความไม่เท่าเทียมกัน ไม่เหมือนกัน ไม่สมบูรณ์เพียบพร้อมเหมือนกันไปหมดทุกอย่าง ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ชาติกำเนิด ฐานะทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม แต่มนุษย์ก็มีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันในการแสวงหาความสุขให้กับชีวิต โดยไม่ทำให้ตนเองและ/หรือผู้อื่นเดือดร้อน"










คนรวย ต้องการความสุขแบบหนึ่ง  
คนจน ก็ต้องการความสุขอีกแบบหนึ่ง
แล้ว…คิดอย่างไร มองอย่างไร ให้ชีวิตมีความสุข…?

“เลือกคิด”
  • รู้จักคิด เลือกคิด
  • ไม่คิดแต่อยากจะได้ อยากจะเป็น อยากจะมี โดยไม่ตั้งอยู่ในหลักของความเป็นจริง ของชีวิต
  • เพราะ ใจของเราก็จะรุ่มร้อน โศกเศร้าเมื่อไม่ได้ดั่งใจหวัง
“คิดในเรื่องปัจจุบัน”

คนที่มีความทุกข์

  • ส่วนมากแล้วมักเป็นคนที่ชอบย้ำคิดแต่ในเรื่องอดีตที่ทำให้ ทุกข์ระทม ผิดหวัง เศร้าเสียใจ ที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเรียกกลับคืนมาได้
  • บางคนก็วาดภาพอนาคตมี่ยังมาไม่ถึงไว้สวยหรู สูงส่ง จึงไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องปัจจุบัน
คนที่มีความสุขมัก
  • คิดและทำในสิ่งที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด ใช้เวลาในปัจจุบันอย่างคุ้มค่าสร้างสรรค์ผลงานให้สำเร็จ
  • ใช้เวลาในอนาคตเป็นเรื่องของการวางแผน วางเป้าหมายแนวทางที่จะก้าวเดินต่อไป
  • นำเอาอดีตที่ผิดพลาดมาเป็นบทเรียน ปรับปรุงแก้ไข เพื่อที่จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด สู่ผลสำเร็จในวันข้างหน้า
“คิดเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส"

รู้จักเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

  • เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สำเร็จ ผิดหวัง หรือทุกข์ระทม
  • ให้เอาความผิดพลาด ความล้มเหลวทั้งหลาย วิกฤตที่เกิดขึ้นในชีวิตมาเป็นบทเรียนสอนใจ
  • หาจุดดีของเหตุการณ์นั้นๆ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสใหม่ๆ
  • ทำใจให้เข้มแข็ง มีสติ มีความรอบคอบมากขึ้น ลุกขึ้นมาสู้ใหม่
“มองโลกในด้านดี”

มองโลกในด้านดี
  • การมองโลก มองผู้คน มองเหตุการณ์ในด้านดีจะทำให้เกิดกำลังใจ กล้าคิด กล้าทำ กล้าลองใหม่
  • เหตุการณ์ที่เราคิดว่าเลวร้ายนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มีผลต่อสุขภาพจิตของเราเลย
  • ถ้าเราไม่ปรุงแต่งคิดเองไปว่าเหตุการณ์นั้นเลวร้ายอย่างมาก ทำให้ต้องทุกข์ระทมขมขื่น หรือประสบกับความผิดหวัง


ความสุข อยู่ที่ตัวเรานี่แหละ
ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน
มัน อยู่ที่วิธีการคิดของเรา และ ความรู้จักพอของเรา
ถ้าเรา ไมรู้จักพอ จะเอาอะไร มาถมกิเลสที่มีอยู่ ก็ไม่เต็ม
ชีวิตเรา ก็จะดิ้นรน แสวงหาความสุขที่แท้จริง ไม่พบสักที




...........................................................................................

07 สิงหาคม 2552

  • 21:37
กาฬโรคปอด 2

อาการ : อาการทันใด ไข้สูง หนาวสั่น ปวดหัวรุนแรง อาการไอเกิดขึ้นใน 24 ชั่วโมง เสมหะ ตอนแรกเหนียวใสแล้วกลายเป็นสีสนิมหรือแดงสด มักไม่มีปื้นแผลในปอด ถ้าไม่รักษา ตายภายใน 48 ชั่วโมง

การวินิจฉัยแยกโรค : ปอดบวมจากเชื้อแบคทีเรีย Pneumococci หรือตัวอื่น

สาเหตุ : จากเชื้อแบซิลไล Yersinia pestis

การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ : ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย เก็บเสมหะ ย้อมสีกรัมและเพาะเชื้อในอาหารเพาะเลี้ยงธรรมดา ระยะฟักตัว : ประมาณ 2-3 วัน

การแพร่เชื้อ : แพร่ได้ง่ายทาง droplet จากทางเดินหายใจและสิ่งของที่เพิ่งปนเปื้อนเชื้อโรคใหม่ๆ

การเกิดโรค : เป็นอาการแทรกซ้อนของกาฬโรคต่อมน้ำเหลืองหรืออาจจะเป็นการติดเชื้อครั้งแรก

การรักษา : รักษาด้วยยา streptomycin tetracycline หรือ chloramphinicol

การควบคุม : แยกกักผู้ป่วยอย่างเข้มงวดยิ่ง

ผู้สัมผัสโรค : ค้นหา แยกกักไว้ 7 วัน และให้เคมีป้องกัน (รวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด้วย) รายงานองค์การอนามัยโลก (เป็นโรคต้องรายงานตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ ฉบับก่อน ปี 2005)

ประวัติไข้กาฬโรค
  • ไข้มรณะดำ กาฬโรค หรือ the Black Death หรือ Black Plague เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งเกิดจากเชื้อ Yersinia pestis ส่วนใหญ่ทำให้เกิดโรคในหนูและในสัตว์ฟันแทะชนิดอื่นรวมทั้งในคนด้วย โดยมีหมัดหนูเป็นพาหะที่สำคัญที่นำโรคจากสัตว์ตัวหนึ่งไปยังสัตว์อีกตัวหนึ่ง หรือจากสัตว์ไปสู่คน เหตุการณ์โรคระบาดที่ร้ายแรงในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คือ กาฬโรค เริ่มต้นขึ้นในแถบตะวันตกเฉียงใต้และตอนกลางของเอเชีย และแพร่กระจายเข้าไปที่ยุโรปมียอดผู้เสียชีวิตจากทั่วโลก รวมแล้วประมาณ 75 ล้านคน และในจำนวนประมาณ 20 ล้านคนเกิดขึ่นที่แถบยุโรปเท่านั้น เหตุการณ์เดอะแบล็กเด็ธทำให้ชาวยุโรปเสียชีวิตไปร่วม 2/3 ของประชากรชาวยุโรปทั้งหมด จึงเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 และเป็นโรคที่มีแนวโน้มแพร่ระบาดข้ามประเทศ ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับปี2005

ประวัติการระบาดในประเทศไทย
  • นายแพทย์ เอช แคมเบล ไฮเอ็ด เจ้ากรมแพทย์สุขาภิบาล ( Principal Medical Officer of Bangkok City) ได้รายงานการกาฬโรคครั้งแรกในประเทศไทย · เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม2447 เกิดขึ้นที่บริเวณตึกแดงและตึกขาว เป็นโกดังเก็บสินค้า จังหวัดธนบุรีเป็นที่อยู่ของพ่อค้าชาวอินเดียแล้วระบาดเข้ามาฝั่งพระนคร
  • จากนั้นกระจายไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่มีการติดต่อค้าขายกับกรุงเทพฯ โดยทางบก ทางเรือและทางรถไฟ ไม่มีสถิติจำนวนผู้ป่วยตายที่แน่นอน
  • รายงานปรากฏก่อนปี พ.ศ. 2456 ที่จังหวัดนครปฐมมีคนตาย 300 คน
  • ครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2495 มีรายงานผู้ป่วย 2 รายตาย1 ราย ที่ตลาดตาคลี จากนั้นไม่มีรายงานกาฬโรคเกิดขึ้นในประเทศไทยจนปัจจุบันนี้

อาการของไข้กาฬโรค ลักษณะอาการเริ่มแรกที่นำมาคือ
  • อ่อนเพลีย ปวดศีรษะวิงเวียน กระสับกระส่าย คลื่นไส้ ปวดแขนหรือบริเวณเอว
  • ผู้ป่วยทุกรายจะมีไข้สูงภายใน 2 – 3 ชั่วโมง หรือ 1 วัน
  • นอกจากนี้ผู้ป่วยจะมีอาการหนาวสั่นพร้อมกับชีพจรเต้นแรงตามไข้ที่ขึ้นสูง กาฬโรคมีลักษณะอาการแบ่งไดใหญ่ 3 ลักษณะ ได้แก่
1 กาฬโรคของต่อมน้ำเหลือง (Bubonic plague) พบมากกว่าร้อยละ75 ของผู้ป่วยที่มีอาการ ระยะฟักตัวประมาณ 2 – 10 วัน
  • ผู้ป่วยมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย
  • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบบวม ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุด คือ บริเวณขาหนีบ รองลงมาคือ บริเวณรักแร้ ต่อมน้ำเหลืองรอบคอ ต่อมน้ำลาย ตามลำดับ












2
กาฬโรคชนิดโลหิตเป็นพิษ (Septicemic plague)

  • เป็นกลุ่มที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นพิษอย่างรุนแรง
  • เกิดจากกลุ่มของกาฬโรคต่อมน้ำเหลืองที่ไม่ได้รับการรักษาและเกิดการติดเชื้อในเลือด
  • อาการของโรคกลุ่มนี้คือ ไข้ไม่สูง ต่อมน้ำเหลืองไม่โตแต่มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการดีซ่านตัวเหลือง ตาเหลือง
3 กาฬโรคปอดบวม (Pneumonic plague)
  • พบมากในกลุ่มที่เข้าป่าล่าตัว marmot ในแถบประเทศจีน มองโกเรีย
  • กาฬโรคในกลุ่มนี้สามารถแพร่กระจายไปสู่คนได้โดยการไอ จามรดกัน หรือโดนหมัดในตัวคน (Pulex irritans) กัด
  • อาการของโรคคือ ไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว หอบ เหนื่อยง่าย จากนั้นประมาณ 20 – 24 ชั่วโมงจะมีอาการทางปอดเริ่มขึ้นคือ ไอถี่ขึ้น เสมหะตอนแรกเหนียวใสแล้วกลายเป็นสีสนิมหรือแดงสด มักไม่มีปื้นแผลในปอด

พาหะนำโรค..หนูและหมัดหนู

หมัดหนู ปล่อยแบคทีเรียหลายชนิดทำให้เกิดโรคหัวใจ นำโรคระบาดมาสู่คน ควรระวังอย่างยิ่ง รายงานในวารสาร Journal of Medical Microbiology ฉบับ เดือนธันวาคม ชี้ให้เห็นว่า หนูน้ำตาลหรือหนูท่อ ซึ่งเป็นหนูที่มีขนาดใหญ่และพบมากสุดในยุโรป กำลังนำปัญหาใหญ่มาสู่คน พกเอาแบคทีเรียร้ายกาจติดตัวมาด้วย ตั้งแต่ต้นยุคปี 90 มีการค้นพบแบคทีเรีย Bartonella มากกว่า 20 สายพันธุ์ เป็นเชื้อโรคจากสัตว์สู่คน ทำให้เกิดโรคหัวใจ เกิดการติดเชื้อที่ม้ามและระบบประสาท



ศาสตราจารย์เชา-ชิน ฉาง จากมหาวิทยาลัยนานาชาติ Chung Hsing ไต้หวัน กล่าวว่า แบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่นี้คือ Bartonella rochalimae ตรวจพบในคนไข้ม้ามโตรายหนึ่งที่เพิ่งเดินทางไปอเมริกาใต้ คาดว่าแบคทีเรียชนิดนี้เป็นสายพันธุ์ใหม่ แพร่จากสัตว์สู่คน ทีมวิจัยจะทำการสำรวจต่อไปว่าสัตว์ฟันแทะที่อยู่แวดล้อมตัวเรานั้นเป็นพาหะ ของแบคทีเรียชนิดนี้ด้วยหรือไม่

สัตว์ฟันแทะนั้นเป็นพาหะของ Bartonella หลายสายพันธุ์ เช่น B. elizabethae ก่อให้เกิดโรคเยื่อบุโพรงหัวใจอักเสบ และ B. grahamii ก่อให้เกิดโรคเรตินาอักเสบ ส่วนเส้นทางการแพร่เชื้อโรคนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด คาดว่ามาจากหมัดชื่อ Ctenophthalmus nobilis ที่อาศัยอยู่ในหนูนามีส่วนในการแพร่เชื้อ Bartonella หลายสายพันธุ์ นอกจากนั้นยังพบว่าหมัดชนิดนี้อาศัยอยู่ในเจอบิล (สัตว์ทะเลทรายขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายหนู เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงได้) หนูบ้านและหนูนอร์เวย์ (เรียกหนูน้ำตาล หนูท่อ)



ศาสตราจารย์ฉางกล่าวว่า ทีมวิจัยได้สำรวจหนู Rattus norvegicus ที่ไต้หวัน ซึ่งเป็นหนูน้ำตาลที่พบมากสุดในยุโรปด้วย เช่นกัน ผลตรวจดีเอนเอทำให้ทราบว่าแบคทีเรียที่พบเป็นสายพันธุ์ใกล้กับ B. rochalimae ที่เพิ่งแยกได้จากผู้ติดเชื้อในอเมริกา ทีมวิจัยลองสุ่มสัตว์ฟันแทะมา 58 ตัว ในจำนวนนี้เป็นหนูสีน้ำตาล 53 ตัว หนูไมซ์ (mice)สายพันธุ์ Mus musculus 2 ตัว หนูสีดำสายพันธุ์ Rattus rattus 3 ตัว พบสัตว์ฟันแทะ 6 ตัวที่มีแบคทีเรีย Bartonella ใน 6 ตัวนี้เป็นหนูสีน้ำตาล 5 ตัว และมีหนูสีน้ำตาล 4 ตัวที่มี B. elizabethae ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคหัวใจในคน ส่วนหนูสีดำตัวหนึ่งพบว่ามี B. tribocorum นอกจากนั้นยังพบแบคทีเรียอีกสายพันธุ์หนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับ B. rochalimae ซึ่งยังไม่เคยพบในสัตว์ฟันแทะมาก่อน

เนื่องจากการทดลองนี้ใช้ตัวอย่างสัตว์เพียงไม่กี่ตัว จึงไม่สามารถบอกได้ว่าหนูสีน้ำตาลที่พบทั่วไปแพร่เชื้อ B. rochalimae ด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันว่า แบคทีเรีย Bartonella หลายสายพันธุ์แพร่กระจายโดยสัตว์ฟันแทะ จึงควรคำนึงถึงรังโรคและตัวพาของเชื้อโรคด้วย ซึ่งจะมีการศึกษากันต่อไป

ข้อมูลอ้างอิง

1. http://thaigcd.ddc.moph.go.th/Icdc_knowladge_plague_pueumonic.html
2. http://microbiologybytes.wordpress.com/2007/06/08/bartonella-rochalimae/
3. http://www.technoinhome.com
4. Jen-Wei Lin et al. Isolation of Bartonella species from rodents in Taiwan including a strain closely related to ‘Bartonella rochalimae’ from Rattus norvegicus. Journal of Medical Microbiology, 2008; 57 (12): 1496 DOI: 10.1099/jmm.0.2008/004671-0

5. Society for General Microbiology (2008, November 24). 21st Century Plague? Rat Fleas Spread Heart-damaging Bacteria.

06 สิงหาคม 2552

  • 16:11
กาฬโรคปอด 1

องค์การอนามัยโลก :


  • กาฬโรคปอดเป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อ ที่สามารถทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 24 ชม.หลังการติดเชื้อ
เชื้อโรค

  • ตามข้อมูลองค์การอนามัยโลก กาฬโรคปอด บวม เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สามารถแพร่เชื้อได้ในอากาศ เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่ก่อให้เกิดกาฬโรคที่ มีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมและอักเสบ หรือBubonic Plague ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนในทวีปยุโรปมาแล้วราว 25 ล้านคนจากการระบาดในสมัยยุคกลาง ทั้งนี้ กาฬโรคชนิดที่มีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมและอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ ส่วนกาฬโรคปอดบวมจัดเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งที่สามารถคร่าชีวิตผู้ติดเชื้อได้ภายใน 24 ชั่วโมง
  • กาฬโรคเกิด จากเชื้อแบคทีเรีย แบซิลไล ( Yersinia Pestis ) โดยมีแหล่งรังโรคคือ สัตว์ฟันแทะ หนู กระรอกป่า กระต่ายป่า แพะ แกะ หมา และแมว แต่ส่วนใหญ่จะพบในหนูและกระรอก ส่วนคนไม่ใช่แหล่งรังโรค แต่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ โดยมีหมัดหนูเป็นพาหะนำโรค มีขนาดเพียงแค่ 1 มิลลิเมตร แต่สามารถกระโดดได้ไกลถึง 1 เมตรหรือ 200 เท่าของขนาดตัว ซึ่งหากหมัดหนูมีเชื้อดังกล่าวกัดหนูหรือคนก็จะแพร่กระจายโรคได้
พาหะนำโรค

  • โดยสาเหตุของโรคดังกล่าวเกิดจากถูกหมัดหนูกัดและมีอาการไข้ 3 แบบ คือ
  • 1.ตามต่อมน้ำเหลืองที่ถูกหมัดหนูกัด และบริเวณขาหนีบจะโต โลหิตเป็นพิษ
  • 2.หากเชื้อลงไปที่ปอดอาจเรียกว่า กาฬโรคปอด และ
  • 3.หมัดกัดที่ขา บริเวณขาจะอักเสบ บวม เนื้อจะเน่า ทำให้โลหิตเป็นพิษ และเสียชีวิต
ค่าดัชนี
  • หากนำหนู 10 ตัวมาตรวจหาหมัด และหากพบหมัดโดยเฉลี่ยหนูมีหมัดตัวละ 1 ตัว ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคสูง แต่ที่ผ่านมาอัตราการพบหมัดของหนูที่จับได้อยู่ที่ 0.3-0.4 เท่านั้น จึงไม่เกินเกณฑ์
การติดต่อ

  • โรคกาฬโรค การแพร่ติดจากคนสู่คน คือ ผ่านการไอ แต่การติดต่อยากกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่มีความรุนแรงของโรคมากกว่า หากรับเชื้อมีโอกาสเสียชีวิต 30-60% ถือว่ามีความรุนแรงมาก จึงถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งหากผู้ป่วยต้องแจ้งความภายใน 24 ชั่วโมง
การป้องกัน

  • สำหรับแนวทางป้องกันไม่ให้ถูกหมัดหนูกัดนั้น พยายามหลีกเลี่ยงอย่าไปสัมผัสกับสัตว์ฟันกัดแทะที่ป่วยตาย เช่น หนู กระรอก หากจำเป็นต้องสัมผัสให้สวมถุงมือป้องกัน
การรักษา

  • สำหรับการรักษากาฬโรคนั้น จะใช้ยาปฏิชีวนะทั่วไป เช่น สเตรปโตมัยซิน เป็นต้น
อาการ การแพร่ระบาด

  • อาการกาฬโรค เบื้องต้น
  • เมื่อถูกหมัดที่มีเชื้อกาฬโรคกัด เบื้องต้นจะทำให้เกิดภาวะต่อมน้ำเหลืองโต หากกัดที่ขาหรือเท้าตอมน้ำเหลืองจะโตบริเวณขาหนีบ แต่หากกัดที่ส่วนบน เช่น แขน ลำตัว ตอมน้ำเหลือจะบวมโตบริเวณลำคอ สามารถรักษาได้ตามอาการ แต่หากเชื้อดังกล่าวเข้าสู่กระแสเลือดจะทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ แต่ถ้าหากเชื้อลงสู่ปอดจะทำให้เสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง
  • ตามรายงานที่พบ :
  • เกิดการแพร่ระบาดของโรคกาฬโรคปอด ที่มณฑลชิ่งไห่ ประเทศจีน ซึ่งเป็นมณฑลทางตะวันตกติดต่อกับมณฑลทางตอนใต้ของจีน
[สำหรับมณฑลชิงไห่ของจีน ถือเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำโขงซึ่งไหลมาจากประเทศจีนเรียกว่าแม่น้ำล้านช้าง ผ่านมณฑลหยุนหนัน ที่ทำการค้ากับท่าเรือเชียงแสน อยู่ติดกับมณฑลหยุนหนัน และมณฑลทิเบตแต่ก็มีระยะทางห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร รวมทั้งเรือสินค้าก็ไม่ได้มาจากมณฑลชิงไห่ เพราะแม่น้ำโขงเหนือมณฑลหยุนหนันมีการก่อสร้างเขื่อนหลายแห่ง เรือสินค้าส่วนใหญ่จึงมาจากมณฑลหยุนหนันเกือบทั้งหมด]

เหยื่อรายที่ 2 ของกาฬโรคปอด บวมทราบชื่อเพียงว่า นายตันซิน อายุ 37 ปี เป็นชาวเมืองจื่อเคอทัน เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายตันซินยังเป็นเพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคปอด บวมรายแรกที่เป็นคนเลี้ยงสัตว์ อายุ 32 ปี และยังพบผู้ติดเชื้อโรคนี้อีก 10 คน ส่วนใหญ่เป็นเครือญาติของผู้เสียชีวิตรายแรก โดยทั้งหมดได้ถูกแยกตัวรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล

เมืองจื่อเคอทัน ตั้งอยู่ในภูมิภาคปกครองตนเองของชนชาติทิเบต เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างไกลและมีประชากรอาศัยอยู่เบาบางเพียงราว 1 หมื่นคน หลังพบการระบาดรัฐบาลท้องถิ่นได้สั่งปิดเมืองนี้และพื้นที่โดยรอบให้เป็น พื้นที่กักกันโรค

การแพร่ระบาดในไทย

  • กาฬโรคถือเป็นหนึ่งใน 5 โรคติดต่อร้ายแรง ได้แก่ อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ กาฬโรค ไข้เหลือง และโรคซาร์ค ซึ่งหากพื้นที่ใดพบการแพร่ระบาดโรคเหล่านี้ จะต้องประกาศให้เป็นพื้นที่ควบคุมการติดต่อ และต้องรายงานต่อองค์การอนามัยโลก ซึ่งประเทศไทยมีการพบโรคเหล่านี้ ยกเว้นโรคไข้เหลือง
  • การแพร่ระบาดในประเทศไทยในครั้งสุดท้าย เมื่อปี 2495 พบผู้ป่วย 7-8 ราย ที่ จ.นครสวรรค์ แต่เป็นกาฬโรคต่อม น้ำเหลือง และจากนั้นก็ไม่มีรายงานการพบโรคนี้ในไทย แต่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2481 มีการบันทึกการแพร่ระบาดของโรคนี้ในไทย ที่ จ.กำแพงเพชร ตาก ลำพูน และลำปาง ซึ่งเป็นช่วงเดียวที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่การเดินทางยากลำบาก ทำให้การควบคุมและทำการรักษาได้ยาก ขณะที่การระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน มีการรายงานการแพร่ระบาดในจีน พรมแดนติดต่อระหว่างอินเดียและบังคลาเทศเมื่อ 10 ปี ที่แล้ว ดังนั้นการพบการแพร่ระบาดกาฬโรคในจีนจึงถือเป็นโรคอุบัติซ้ำ
การเฝ้าระวัง

  • จุดการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย หลายแห่งโดยเฉพาะที่ อ.เชียงแสน การทำการค้าจีนตอนใต้ทางเรือในแม่น้ำโขงโดยตรงมาโดยตลอด ได้ตื่นตัวในการเฝ้าระวังการเข้ามาของเชื้อโรคดังกล่าวมากขึ้น โดยทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำท่าเรือเชียงแสนได้ตรวจสุขภาพบุคคลที่ขึ้น ฝั่งมาจากเรือสินค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญชาติจีนประมาณ 100 ลำอย่างเข้มงวด ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ เช่น ศุลกากร ด่านตรวจพืช ฯลฯ ได้เฝ้าสังเกตกล่องสินค้าที่ขึ้นมาจากเรือว่ามีหนูติดมาด้วยหรือไม่ด้วย

  • เนื่องจากท่าเรือเชียงแสนมีการค้ากับจีนตอนใต้ทางเรือในแม่น้ำ โขงโดยตรงมาโดยตลอด ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวังเข้มงวดมากขึ้นโดยหน่วยงานที่เป็นแม่งานหลัก คือสาธารณสุขซึ่งมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำที่ด่าน และทำการตรวจสุขภาพผู้ที่มากับเรือทุกคน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ากรณีเชื้อโรคอาจจะมากับพาหะคือหนูนั้นตรวจสอบได้ยากอยู่บ้าง เนื่องจากเรือสินค้ามีขนาดใหญ่จะไปตรวจจับหนูที่มากับเรือคงทำได้ยาก
  • เชื่อว่าจะไม่มีเชื้อโรคเข้ามาได้เพราะเรือไม่ได้เข้าเทียบฝั่งโดยตรงแต่ อยู่ที่ท่าเรือ รวมทั้งสินค้าที่นำเข้าทางท่าเรือเชียงแสนส่วนใหญ่จะมีการบรรจุเป็นกล่องๆ ซึ่งหากมีหนูหรือสัตว์แทะซึ่งเป็นพาหะนำโรคกาฬโรคปอดก็จะมีร่องรอยการแทะกัด กล่องจนเป็นรู ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ไปตรวจสอบสินค้าสามารถพบเห็นได้ง่ายเพราะยังมีการใช้ขน ด้วยแรงงานขึ้นจากเรือทีละกล่องๆ จนหมดลำเรือทำให้เราสามารถสังเกตเห็นสินค้าได้ทุกกล่อง รวมทั้งมีการสุ่มตรวจสินค้าบางกลุ่มด้วยการเปิดออกดูด้วยหากมีหนูติดมาก็ สามารถตรวจสอบได้แน่นอนไม่เหมือนท่าเรือทางทะเลที่เป็นคอนเทนเนอร์ใหญ่ซึ่ง ตรวจสอบได้ยากกว่า

  • วิธีการ คือ ต้องเฝ้าสังเกตอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานจีนและนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ยังคงยืนพื้นตามแผนเฝ้าระวังเบื้องเท่านั้น หากจีนสามารถควบคุมได้ก็คงจะไม่แพร่กระจายมาสู่ประเทศไทย แต่หากคุมไม่อยู่ประเทศไทยเราคงต้องเพิ่มมาตรการเข้มงวดมากขึ้น และอาจต้องประสานไปยังหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยต่อไป

ผู้จัดการออนไลน์, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, ไทยรัฐออนไลน์, คมชัดลึก

A call-to-action text Contact us