กาฬโรคปอด 1
องค์การอนามัยโลก :
การติดต่อ
เหยื่อรายที่ 2 ของกาฬโรคปอด บวมทราบชื่อเพียงว่า นายตันซิน อายุ 37 ปี เป็นชาวเมืองจื่อเคอทัน เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายตันซินยังเป็นเพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคปอด บวมรายแรกที่เป็นคนเลี้ยงสัตว์ อายุ 32 ปี และยังพบผู้ติดเชื้อโรคนี้อีก 10 คน ส่วนใหญ่เป็นเครือญาติของผู้เสียชีวิตรายแรก โดยทั้งหมดได้ถูกแยกตัวรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล
เมืองจื่อเคอทัน ตั้งอยู่ในภูมิภาคปกครองตนเองของชนชาติทิเบต เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างไกลและมีประชากรอาศัยอยู่เบาบางเพียงราว 1 หมื่นคน หลังพบการระบาดรัฐบาลท้องถิ่นได้สั่งปิดเมืองนี้และพื้นที่โดยรอบให้เป็น พื้นที่กักกันโรค
การแพร่ระบาดในไทย
ผู้จัดการออนไลน์, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, ไทยรัฐออนไลน์, คมชัดลึก
องค์การอนามัยโลก :
- กาฬโรคปอดเป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อ ที่สามารถทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 24 ชม.หลังการติดเชื้อ
- ตามข้อมูลองค์การอนามัยโลก กาฬโรคปอด บวม เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สามารถแพร่เชื้อได้ในอากาศ เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่ก่อให้เกิดกาฬโรคที่ มีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมและอักเสบ หรือBubonic Plague ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนในทวีปยุโรปมาแล้วราว 25 ล้านคนจากการระบาดในสมัยยุคกลาง ทั้งนี้ กาฬโรคชนิดที่มีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมและอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ ส่วนกาฬโรคปอดบวมจัดเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งที่สามารถคร่าชีวิตผู้ติดเชื้อได้ภายใน 24 ชั่วโมง
- กาฬโรคเกิด จากเชื้อแบคทีเรีย แบซิลไล ( Yersinia Pestis ) โดยมีแหล่งรังโรคคือ สัตว์ฟันแทะ หนู กระรอกป่า กระต่ายป่า แพะ แกะ หมา และแมว แต่ส่วนใหญ่จะพบในหนูและกระรอก ส่วนคนไม่ใช่แหล่งรังโรค แต่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ โดยมีหมัดหนูเป็นพาหะนำโรค มีขนาดเพียงแค่ 1 มิลลิเมตร แต่สามารถกระโดดได้ไกลถึง 1 เมตรหรือ 200 เท่าของขนาดตัว ซึ่งหากหมัดหนูมีเชื้อดังกล่าวกัดหนูหรือคนก็จะแพร่กระจายโรคได้
- โดยสาเหตุของโรคดังกล่าวเกิดจากถูกหมัดหนูกัดและมีอาการไข้ 3 แบบ คือ
- 1.ตามต่อมน้ำเหลืองที่ถูกหมัดหนูกัด และบริเวณขาหนีบจะโต โลหิตเป็นพิษ
- 2.หากเชื้อลงไปที่ปอดอาจเรียกว่า กาฬโรคปอด และ
- 3.หมัดกัดที่ขา บริเวณขาจะอักเสบ บวม เนื้อจะเน่า ทำให้โลหิตเป็นพิษ และเสียชีวิต
ค่าดัชนี
- หากนำหนู 10 ตัวมาตรวจหาหมัด และหากพบหมัดโดยเฉลี่ยหนูมีหมัดตัวละ 1 ตัว ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคสูง แต่ที่ผ่านมาอัตราการพบหมัดของหนูที่จับได้อยู่ที่ 0.3-0.4 เท่านั้น จึงไม่เกินเกณฑ์
- โรคกาฬโรค การแพร่ติดจากคนสู่คน คือ ผ่านการไอ แต่การติดต่อยากกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่มีความรุนแรงของโรคมากกว่า หากรับเชื้อมีโอกาสเสียชีวิต 30-60% ถือว่ามีความรุนแรงมาก จึงถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งหากผู้ป่วยต้องแจ้งความภายใน 24 ชั่วโมง
- สำหรับแนวทางป้องกันไม่ให้ถูกหมัดหนูกัดนั้น พยายามหลีกเลี่ยงอย่าไปสัมผัสกับสัตว์ฟันกัดแทะที่ป่วยตาย เช่น หนู กระรอก หากจำเป็นต้องสัมผัสให้สวมถุงมือป้องกัน
- สำหรับการรักษากาฬโรคนั้น จะใช้ยาปฏิชีวนะทั่วไป เช่น สเตรปโตมัยซิน เป็นต้น
- อาการกาฬโรค เบื้องต้น
- เมื่อถูกหมัดที่มีเชื้อกาฬโรคกัด เบื้องต้นจะทำให้เกิดภาวะต่อมน้ำเหลืองโต หากกัดที่ขาหรือเท้าตอมน้ำเหลืองจะโตบริเวณขาหนีบ แต่หากกัดที่ส่วนบน เช่น แขน ลำตัว ตอมน้ำเหลือจะบวมโตบริเวณลำคอ สามารถรักษาได้ตามอาการ แต่หากเชื้อดังกล่าวเข้าสู่กระแสเลือดจะทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ แต่ถ้าหากเชื้อลงสู่ปอดจะทำให้เสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง
- ตามรายงานที่พบ :
- เกิดการแพร่ระบาดของโรคกาฬโรคปอด ที่มณฑลชิ่งไห่ ประเทศจีน ซึ่งเป็นมณฑลทางตะวันตกติดต่อกับมณฑลทางตอนใต้ของจีน
เหยื่อรายที่ 2 ของกาฬโรคปอด บวมทราบชื่อเพียงว่า นายตันซิน อายุ 37 ปี เป็นชาวเมืองจื่อเคอทัน เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายตันซินยังเป็นเพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคปอด บวมรายแรกที่เป็นคนเลี้ยงสัตว์ อายุ 32 ปี และยังพบผู้ติดเชื้อโรคนี้อีก 10 คน ส่วนใหญ่เป็นเครือญาติของผู้เสียชีวิตรายแรก โดยทั้งหมดได้ถูกแยกตัวรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล
เมืองจื่อเคอทัน ตั้งอยู่ในภูมิภาคปกครองตนเองของชนชาติทิเบต เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างไกลและมีประชากรอาศัยอยู่เบาบางเพียงราว 1 หมื่นคน หลังพบการระบาดรัฐบาลท้องถิ่นได้สั่งปิดเมืองนี้และพื้นที่โดยรอบให้เป็น พื้นที่กักกันโรค
การแพร่ระบาดในไทย
- กาฬโรคถือเป็นหนึ่งใน 5 โรคติดต่อร้ายแรง ได้แก่ อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ กาฬโรค ไข้เหลือง และโรคซาร์ค ซึ่งหากพื้นที่ใดพบการแพร่ระบาดโรคเหล่านี้ จะต้องประกาศให้เป็นพื้นที่ควบคุมการติดต่อ และต้องรายงานต่อองค์การอนามัยโลก ซึ่งประเทศไทยมีการพบโรคเหล่านี้ ยกเว้นโรคไข้เหลือง
- การแพร่ระบาดในประเทศไทยในครั้งสุดท้าย เมื่อปี 2495 พบผู้ป่วย 7-8 ราย ที่ จ.นครสวรรค์ แต่เป็นกาฬโรคต่อม น้ำเหลือง และจากนั้นก็ไม่มีรายงานการพบโรคนี้ในไทย แต่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2481 มีการบันทึกการแพร่ระบาดของโรคนี้ในไทย ที่ จ.กำแพงเพชร ตาก ลำพูน และลำปาง ซึ่งเป็นช่วงเดียวที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่การเดินทางยากลำบาก ทำให้การควบคุมและทำการรักษาได้ยาก ขณะที่การระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน มีการรายงานการแพร่ระบาดในจีน พรมแดนติดต่อระหว่างอินเดียและบังคลาเทศเมื่อ 10 ปี ที่แล้ว ดังนั้นการพบการแพร่ระบาดกาฬโรคในจีนจึงถือเป็นโรคอุบัติซ้ำ
- จุดการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย หลายแห่งโดยเฉพาะที่ อ.เชียงแสน การทำการค้าจีนตอนใต้ทางเรือในแม่น้ำโขงโดยตรงมาโดยตลอด ได้ตื่นตัวในการเฝ้าระวังการเข้ามาของเชื้อโรคดังกล่าวมากขึ้น โดยทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำท่าเรือเชียงแสนได้ตรวจสุขภาพบุคคลที่ขึ้น ฝั่งมาจากเรือสินค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญชาติจีนประมาณ 100 ลำอย่างเข้มงวด ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ เช่น ศุลกากร ด่านตรวจพืช ฯลฯ ได้เฝ้าสังเกตกล่องสินค้าที่ขึ้นมาจากเรือว่ามีหนูติดมาด้วยหรือไม่ด้วย
- เนื่องจากท่าเรือเชียงแสนมีการค้ากับจีนตอนใต้ทางเรือในแม่น้ำ โขงโดยตรงมาโดยตลอด ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวังเข้มงวดมากขึ้นโดยหน่วยงานที่เป็นแม่งานหลัก คือสาธารณสุขซึ่งมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำที่ด่าน และทำการตรวจสุขภาพผู้ที่มากับเรือทุกคน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ากรณีเชื้อโรคอาจจะมากับพาหะคือหนูนั้นตรวจสอบได้ยากอยู่บ้าง เนื่องจากเรือสินค้ามีขนาดใหญ่จะไปตรวจจับหนูที่มากับเรือคงทำได้ยาก
- เชื่อว่าจะไม่มีเชื้อโรคเข้ามาได้เพราะเรือไม่ได้เข้าเทียบฝั่งโดยตรงแต่ อยู่ที่ท่าเรือ รวมทั้งสินค้าที่นำเข้าทางท่าเรือเชียงแสนส่วนใหญ่จะมีการบรรจุเป็นกล่องๆ ซึ่งหากมีหนูหรือสัตว์แทะซึ่งเป็นพาหะนำโรคกาฬโรคปอดก็จะมีร่องรอยการแทะกัด กล่องจนเป็นรู ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ไปตรวจสอบสินค้าสามารถพบเห็นได้ง่ายเพราะยังมีการใช้ขน ด้วยแรงงานขึ้นจากเรือทีละกล่องๆ จนหมดลำเรือทำให้เราสามารถสังเกตเห็นสินค้าได้ทุกกล่อง รวมทั้งมีการสุ่มตรวจสินค้าบางกลุ่มด้วยการเปิดออกดูด้วยหากมีหนูติดมาก็ สามารถตรวจสอบได้แน่นอนไม่เหมือนท่าเรือทางทะเลที่เป็นคอนเทนเนอร์ใหญ่ซึ่ง ตรวจสอบได้ยากกว่า
- วิธีการ คือ ต้องเฝ้าสังเกตอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานจีนและนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ยังคงยืนพื้นตามแผนเฝ้าระวังเบื้องเท่านั้น หากจีนสามารถควบคุมได้ก็คงจะไม่แพร่กระจายมาสู่ประเทศไทย แต่หากคุมไม่อยู่ประเทศไทยเราคงต้องเพิ่มมาตรการเข้มงวดมากขึ้น และอาจต้องประสานไปยังหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยต่อไป
ผู้จัดการออนไลน์, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, ไทยรัฐออนไลน์, คมชัดลึก