:::: MENU ::::

MYM

เรารักการแบ่งปัน

  • OfRKTf.md.png

    Sharing content

  • OfRwyb.md.png

    Sharing content

  • OfRZja.md.png

    Sharing content

12 กุมภาพันธ์ 2557

  • 13:46
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญของมนุษย์และสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่ เพราะแคลเซียมคือกระดูกขาวๆ ที่เรารู้จัก แต่คุณรู้ไหมว่า แคลเซียมอาจไหลออกจากกระดูกอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ หากคุณดื่มกาแฟจัด อยู่ในวัยหมดประจำเดือน กินยาบางชนิดเช่นสเตียรอยด์ อยู่ระหว่างควบคุมน้ำหนัก หรือไม่ออกกำลังกาย
คุณรู้ไหมว่า ผู้หญิงวัยทอง 100 คน มีกระดูกเปราะบางเพราะขาดแคลเซียมราว 40 คน ในอเมริกา มีคนเสียชีวิตจากโรคกระดูกพรุนปีละกว่า 40,000 คน
เราสามารถชะลอการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ โดยการตั้งธนาคารกระดูก (Bone Banking) ไว้ในร่างกายเสียตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มสาว ทำอย่างไรหรือครับ? วิธีการตั้งธนาคารกระดูกคือ คุณต้องทำกระดูกของคุณให้หนาและ
แข็งแรงที่สุด ก่อนอายุถึง 30 ปี ดังนั้น คุณจงอย่าประมาท! ถามตัวเองดูอีกที คุณกำลังขาดแคลเซียมหรือเปล่าครับ?

แคลเซียมกับร่างกาย
โครงกระดูกร่างกายมนุษย์เป็นผลผลิตทางวิศวกรรมธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ ร่างกายมนุษย์แข็งแกร่งยิ่งกว่าตึกสูงๆ ที่คำนวณโดยผู้เชี่ยวชาญเสียอีก ยกตัวอย่างเช่น กระดูกต้นขาหรือที่เรียกว่า Femur คุณรู้ไหมครับ เมื่อเทียบการรับน้ำหนักกิโลกรัมต่อกิโลกรัม มันยังเหนือกว่าคอนกรีตเสริมเหล็กเสียอีก เมื่อคุณเดินเร็ว กระดูกต้นขาของคุณจะรับแรงกดราว 80 – 90 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร บ้านของคนส่วนใหญ่ในโลกมีโครงสร้างอ่อนแอกว่าโครงกระดูกมนุษย์
กระดูกมีสารสำคัญเป็นองค์ประกอบคือ แคลเซียมและฟอสฟอรัสจับตัวเรียงแน่นในรูปแบบเช่นเดียวกับผลึกของเพชร ซึ่งถือว่าเป็นวัสดุที่แข็งที่สุดในโลก และในส่วนของฟัน อิแนเมลเป็นสารที่แข็งแกร่งที่สุดที่ร่างกายมนุษย์เราผลิตได้เลยทีเดียว มันแข็งขนาดว่าทันตแพทย์ต้องใช้หัวกรอฟันชนิดหมุนด้วยความเร็วถึงหนึ่งล้านรอบต่อนาที จึงจะเอาชนะมันได้
เห็นความสัมพันธ์ของกระดูก ฟัน และแคลเซียมแล้วใช่ไหมครับ? ถ้าคุณขาดแคลเซียม ก็เหมือนบ้านที่ถูกปลวกแทะกินโครงคร่าวจนพรุน รอเวลาหักพับเท่านั้นเอง และนี่คืออันตรายของโรคกระดูกพรุน ที่ผู้หญิงเกือบครึ่งจะต้องเผชิญหลังหมดประจำเดือน
กระดูกในร่างกายมนุษย์มีทั้งสิ้น 208 ชิ้น มากกว่าครึ่งอยู่ที่แขนและขาดังนี้
·         60 ชิ้นอยู่ที่แขนทั้งสอง
·         60 ชิ้นอยู่ที่ขา
·         26 ชิ้นเป็นสันหลัง
·         24 ชิ้นที่ซี่โครง
·         22 ชิ้นที่กระโหลก
·         6 ชิ้นในหู

โครงกระดูกในร่างกายมนุษย์
ที่เหลือก็อยู่โน่นนิดนี่หน่อย  กระดูกทั้ง 208 ชิ้นนี่แหละครับที่ช่วยค้ำจุนคุณไว้ และยังคงอยู่ต่อไปเป็นที่ระลึกแก่คนที่อยู่ข้างหลัง เมื่อคุณบ๊ายบายโลกที่สวยงามไปแล้ว
เมื่อรู้แล้วว่าแคลเซียมคือแร่ธาตุสำคัญ คุณจึงต้องคอยดูแลอย่าให้มันหนีหายจากคุณไปเสียก่อน หากวันใดที่คุณสูญเสียเนื้อกระดูก กระดูกบาง ไม่หนาแน่น ผลที่ตามมาคือ กระดูกแตกง่าย (ส่วนใหญ่เกิดในหญิงหลังหมดประจำเดือน) อาการเริ่มแรกที่พบคือ ปวดหลัง ไม่มีอาการอื่น แต่ครั้นนานไป จะเกิดอาการปวดหลังอย่างแรง มีเสียงเหมือนกระดูกสันหลังหัก หลังงองุ้ม ความสูงลดลง กระดูกหักง่าย
นอกจากทำตัวเป็นเสาคอนกรีตให้กับร่างกายแล้ว แคลเซียมยังมีบทบาทอีกมากมายในร่างกายที่คาดไม่ถึง เช่น
·         แคลเซียมทำหน้าที่เป็นตัวนำสัญญาณที่ส่งผ่านระหว่างเซลล์ประสาทที่สำคัญยิ่ง ถ้าขาดแคลเซียม ร่างกายกับสมองก็ไม่อาจสื่อสารถึงกันได้
·         แคลเซียมทำให้กล้ามเนื้อหดตัวได้เท่าๆ กับที่น้ำมันทำให้รถวิ่งเลยทีเดียว หากคุณขาดแคลเซียม กล้ามเนื้อหัวใจก็ไม่อาจบีบตัว หัวใจหยุดเต้น กล้ามเนื้อกะบังลมก็ไม่หดตัว คุณจะหยุดหายใจ เห็นหรือยังครับว่าสำคัญแค่ไหน?
·         หากร่างกายคุณไม่มีแคลเซียม เลือดจะไหลไม่หยุด เพราะแคลเซียมเป็นสารสำคัญในขบวนการแข็งตัวของเลือด
·         นอกจากนี้ แคลเซียมยังช่วยในขบวนการสร้างภูมิคุ้มกันโรค และการผลิตพลังงาน
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ผลจากวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ซับซ้อน ทำให้ร่างกายพึ่งแคลเซียมเป็นอย่างมาก จนทำให้แคลเซียมเข้าไปมีบทบาทในการควบคุมการทำงานของร่างกายถึงระดับเซลล์เลยทีเดียว ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงปริมาณแคลเซียมในเซลล์แม้แต่เพียงเล็กน้อย อาจก่อผลใหญ่หลวง เช่น เปลี่ยนแปลงจังหวะการเต้นของหัวใจ และหากปริมาณแคลเซียมเปลี่ยนมากกว่านั้น เซลล์อาจถูกทำลาย
ในภาพรวม หากร่างกายของคุณขาดแคลเซียมแม้เพียงเล็กน้อย คุณจะเกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ความจำเสื่อม กล้ามเนื้อกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ จนถึงชักกระตุก และถ้าคุณขาดมันจนถึงจุดหนึ่ง... คุณตาย! ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีระบบควบคุมปริมาณแคลเซียมอีกทีหนึ่ง เพื่อไม่ให้มันเป็นใหญ่เกินไป อย่างที่เขาว่า ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย
สิ่งที่ควบคุมแคลเซียมคือธาตุอีกตัว ชื่อว่า แมกนีเซียม เฮ้อ...อะไรมันจะวุ่นวายซับซ้อนปานนี้!
ยังครับ...ยัง....นี่แค่ความรู้ทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน
เอาง่ายๆ ดีกว่าว่า เจ้าแมกนีเซียมจึงมีหน้าที่คอยคุมปริมาณแคลเซียมให้พอเหมาะพอควรเสมอ เพื่อกันเหนียวไม่ให้มันคิดก่อการกบฏขึ้นมาง่ายๆ แม้กระนั้น คนจำนวนมากก็ยังไม่วายขาดแคลเซียม


ความสำคัญของแคลเซียม

การขาดแคลเซียม
มีคนบางกลุ่ม อยู่ในประเภทมนุษย์เจ้าปัญหาเสี่ยงต่อการขาดแคลเซียมได้ง่าย คนสูงอายุคือกลุ่มใหญ่ เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น การทำงานของระบบต่างๆ เริ่มเสื่อมลง อาหารที่กินก็เคี้ยวไม่แหลก ลำไส้ลดความสามารถในการดูดซึมแคลเซียม และนอกจากนี้ ความจริงที่เถียงไม่ได้อีกอย่างคือ คนสูงอายุจะกินอาหารน้อยลงโดยธรรมชาติ ส่งผลให้แคลเซียมลดปริมาณลงด้วย แต่ร่างกายจะยอมให้แคลเซียมในเซลล์ลดปริมาณลงไม่ได้ เพราะมันหมายถึง ความตาย ร่างกายแก้ปัญหาอย่างไร?
ธรรมชาติแก้ปัญหาโดยการ กิน กระดูกของตัวเอง โดยดึงแคลเซียมในกระดูกออกมาชดเชยส่วนที่ขาดไป ผลที่ตามมาคือ กระดูกพรุนครับ!
ตามธรรมชาติ กระดูกเมื่อบางลงเรื่อยๆ มันจะถึงจุดแตกหัก และเราจะรู้ว่าตัวเองเป็นโรคกระดูกพรุน ก็ต่อเมื่อเกิดอาการกระดูกหักง่ายผิดปกติ แม้แค่กระทบกระแทกเพียงเล็กน้อย และที่แย่ไปกว่านั้น ผลของกระดูกพรุนยังทำให้เกิดอาการต่อเนื่องอีกหลายประการ กระดูกส่วนสำคัญที่ถูกทำลายคือ ข้อมือ สะโพก และกระดูกสันหลัง ซึ่งโรคที่ตามมาเนื่องจากกระดูกเคลื่อนไหวผิดปกติล้วนน่ากลัว เช่น การติดเชื้อ การอักเสบ เอ็มโบลิซึม ซึ่งเป็นก้อนเลือดขัดขวางการไหลเวียนของโลหิตไปยังปอด จนอาจทำให้ถึงตายได้
การค้นพบตรงนี้ ทำให้สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติอเมริกา ออกมาประกาศในปี ค.ศ. 1984 ว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติจากการกินแคลเซียมไม่เพียงพอกับความต้องการต่อวัน
การขาดแคลเซียม
ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ แคลเซียมหมดกระดูกแน่ คำประกาศของสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติอเมริกา ทำให้เกิดโกลาหลไปทั่ว สื่อมวลชนเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “Calcium Craze” มีการรณรงค์ดื่มนมเพื่อตั้งธนาคารกระดูก (Bone Banking) ไว้ในร่างกายเสียตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มสาว โดยมุ่งหวังให้กระดูกของคุณหนาและแข็งแรงที่สุด ก่อนอายุถึง 30 ปี ผู้ผลิตอาหารเสริมต่างผลิตแคลเซียมชนิดเม็ดและน้ำในรูปแบบต่างๆ มากมาย มีการเติมรสส้ม กลิ่นสังเคราะห์ และฟองฟู่เพื่อให้น่ากิน ประมาณการว่าประชาชนอเมริกาใช้จ่ายเงินเพื่อแคลเซียมเสริมเพียงอย่างเดียวถึงปีละ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
และขณะนี้ ความตื่นตระหนกกำลังแพร่กระจายมาถึงเมืองไทยแล้ว ถ้าคุณไปเดินตามห้าง คุณอาจเห็นแคลเซียมฟองฟู่หลากยี่ห้อวางยั่วสายตาในราคาที่จับไม่ลงทีเดียว แต่ผมคิดว่า เรามีวิธีที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินมากมาย ไม่ต้องซื้อหาด้วยราคาแพง หากรู้จักปรับวิถีชีวิตและบริโภคนิสัยให้เหมาะสม ทำเถอะครับ....เพื่อชีวิตคุณเอง

ประโยชน์ของแคลเซียม – ป้องกันและบรรเทาอาการรุนแรงของโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ ในตัวมนุษย์ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึงภัยร้ายของมัน จนถึงวันที่ปรากฏอาการ
โรคกระดูกพรุนอาจเกิดได้จากการขาดแคลเซียม หรือโบรอนในอาหาร ใช้ยาจำพวกสเตียรอยด์ ฮอร์โมนเพศลดระดับหลังหมดประจำเดือน โรคเรื้อรัง ติดสุราเรื้อรัง สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟจัด อายุมาก ขาดการออกกำลังกาย ขาดวิตามินซี ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ และมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมให้กระดูกพรุนเร็วขึ้นคือ การผ่าตัดเอารังไข่ออก โภชนาการไม่ดี โครงกระดูกเล็ก ฯลฯ
จากการสำรวจในอเมริกาพบว่า ทุกวันนี้ ผู้หญิงหลายคนได้รับแคลเซียมไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันด้วยซ้ำ สตีเวน เอ. อะบรามส์ แห่งศูนย์วิจัยโภชนาการเด็กในฮุสตันกล่าวว่า เด็กหญิงต้องการแคลเซียมสูงมากในช่วงก่อนและหลังวัยเริ่มเจริญพันธุ์ (ประมาณช่วงอายุ 10 – 12 ปี) ดังนั้นควรฝึกให้เด็กกินอาหารที่มีแคลเซียมแต่เนิ่นๆ แต่ผู้พลาดโอกาสรับแคลเซียมในวัยเด็ก อาจนึกท้อว่า ชีวิตนี้ต้องเผชิญกับโรคกระดูกพรุนอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง แถมด้วยโรคที่เกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนไหวผิดปกติของกระดูก เช่น การติดเชื้อ การอักเสบ เอ็มโบลิซึม อย่าเพิ่งท้อครับ มีงานวิจัยถึง 28 ชิ้นนับแต่ปี พ.ศ. 2531 ที่แสดงให้เห็นว่า การได้รับแคลเซียมตอนแก่ ก็ยังมีประโยชน์ในการป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากสันหลัง ข้อมือ และสะโพกได้
การศึกษาในหญิงวัยหมดประจำเดือน 300 คน พบว่า หากคุณกินอาหารที่มีแคลเซียมเสียแต่เดี๋ยวนี้ ทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมในปริมาณตั้งแต่ 400 – 900 มิลลิกรัม (หรือเท่ากับนม 3 – 7 แก้วใหญ่) ทุกวัน จะช่วยยับยั้งการเสื่อมของกระดูกหลังหมดประจำเดือนได้นานกว่า 6 ปี และการศึกษาใหม่กว่านั้นพบว่า หญิงและชายที่กินแคลเซียมมากกว่า 760 มิลลิกรัมต่อวัน จะเกิดโรคจากกระดูกเสื่อมลดลงถึง 60% เมื่อเทียบกับคนที่กินแคลเซียมน้อยกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นหากคุณไม่คิดป้องกันเสียแต่วันนี้ เอาแต่ปล่อยตัวตามสบาย คุณก็จะแก่เร็วเพราะโรคกระดูกพรุนแน่นอน


ความต้องการแคลเซียมของร่างกาย

ป้องกันมะเร็ง – มะเร็งในที่นี้คือ มะเร็งลำไส้ใหญ่
ความคิดว่าแคลเซียมมีบทบาทต่อมะเร็ง เกิดจากงานวิจัยที่ต่อเนื่องยาวนานถึง 19 ปี การศึกษาที่ว่านี้ ทำในชายผิวขาวเพื่อหาอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ กับอาหารที่กินเข้าไป พบว่า คนที่ดื่มนมน้อยกว่า 1 ½ แก้ว จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเป็นสามเท่าของคนที่ดื่มนมวันลั 4 ½ แก้วขึ้นไป ใครๆ ก็รู้ว่าในนมมีแคลเซียมและวิตามินดี
ทุกวันนี้งานวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งลำไส้ใหญ่กับแคลเซียมยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น มีการเสริมแคลเซียมขนาด 1.250 มิลลิกรัม ให้กับคนที่เสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ เช่น คนที่มีญาติพี่น้องเป็นมะเร็ง พบว่า หลังรับแคลเซียมระยะหนึ่ง การแบ่งเซลล์ผิดปกติลดความเร็วลง เป็นไปได้ที่เร็วๆ นี้ ที่จะมีข่าวดีเกี่ยวกับแคลเซียมและมะเร็ง
แคลเซียมกับความดันโลหิต

มะเร็งลำไส้ใหญ่


น้อยคนจะทราบว่า แคลเซียมมีบทบาทต่อความดันโลหิต แต่นักวิทยาศาตร์พบว่า คนที่มีความดันสูงจะกินแคลเซียมน้อยกว่าคนปกติ ต่อมามีการทดลองให้ผู้ป่วยความดันสูงได้รับแคลเซียมเพิ่มขึ้น ผลปรากฏว่า ความดันลดลงน่าพอใจ เมื่อเทียบกับยาหลอก (บางคนอาจสงสัยว่ายาหลอกคืออะไร เพราะอ่านเจอบ่อย ขออธิบายตรงนี้เลยว่า ในการทำวิจัย เราจะแยกคนเป็นสองกลุ่มครับ กลุ่มแรกให้กินยาจริง อีกกลุ่มให้กินแป้งเปล่าที่ทำรูปแบบเหมือนกันทุกประการ อันนี้เองที่เรียก ยาหลอก หรือ Placebo การให้กินยาหลอกก็เพื่อกันไม่ให้ผู้ป่วยมีอคติกับการทดลอง) ดังนั้น ผู้ป่วยความดันสูงจะหาอาหารอุดมแคลเซียมมากินสม่ำเสมอก็ไม่เสียหลาย...จริงไหมครับ?
แคลเซียมลดอาการตะคริว
สูตินารีแพทย์หลายท่าน นิยมจ่ายแคลเซียมให้หญิงมีครรภ์ที่มีปัญหาเป็นตะคริวที่ขา ช่วยได้ดีครับ แถมยังช่วยสร้างกระดูกแก่ทารกในครรภ์ด้วย
ข้อคิดเห็นขัดแย้ง
แม้ทุกวันนี้ ความรู้เรื่องแคลเซียมจะชัดเจนมากแล้ว แต่ก็ยังมีความคิดโต้แย้งหลงเหลืออยู่บ้าง เช่น
1.   กินแคลเซียมมากทำให้เกิดนิ่ว เป็นความจริงที่ว่า นิ่วในไตส่วนใหญ่มีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแคลเซียมที่เรากินเข้าไปจะกลายเป็นก้อนนิ่ว เช่นเดียวกับที่ว่า เนื้องอกเป็นโปรตีน ก็เลยคิดว่ากินโปรตีนแล้วจะเป็นเนื้องอก จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีใครสามารถแสดงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนความคิดนี้ นอกจากพูดกันประปราย
2.   ระวังแคลเซียมสะสมในเนื้อ กระดูกงอก ฯลฯ บางคนเชื่อว่าแคลเซียมสูงจะทำให้เกิดการสะสมในเนื้อ หรือที่เรียกว่า Tissue Calcification ไม่พบหลักฐานสนับสนุนความเชื่อเหล่านั้น แต่ตรงข้ามกลับมีหลักฐานว่า การที่แคลเซียมสะสมในเนื้อ เกิดจากได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ
3.   แคลเซียมมากทำให้ขาดแมกนีเซียม เป็นข้อสันนิษฐานที่นำเสนอโดยนักวิทยาศาสตร์หัวหอกคือ Guy Abraham เขาเชื่อเช่นนั้นและเชื่อว่า โรคกระดูกพรุนไม่ได้เกิดจากการขาดแคลเซียม แต่เกิดจากการกินโปรตีนหรือเนื้อสัตว์มากเกินไป ความเชื่อนี้ ยังรอการพิสูจน์เช่นกัน

แหล่งแคลเซียม


แหล่งแคลเซียม

นมและผลิตภัณฑ์ของนม เช่น เนยแข็ง โยเกิร์ต เป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญของชาวฝรั่ง แต่สำหรับคนไทย เรามีแหล่งแคลเซียมมากมายจากอาหารพื้นบ้าน เช่น ปลากรอบ กุ้งแห้ง กะปิ เป็นต้น ดังตาราง

ประเภทอาหาร (100 กรัม)
ปริมาณแคลเซียม (มิลลิกรัม)
กุ้งแห้งตัวเล็ก
2,305
กะปิ
1,565
มะขามฝักสด
429
ยอดแค
354
ยอดสะเดา
354
คะน้า
245
เต้าหู้เหลือง
160
นมสด
118

การคำนวณแคลเซียมทั้งหมดในตาราง คิดจากอาหารน้ำหนัก 100 กรัมเท่ากัน แต่ในชีวิตจริง คงไม่มีใครกินกะปิได้ 100 กรัมต่อวันแต่ปลากรอบ 100 กรัม ไม่พอเรียกน้ำย่อยด้วยซ้ำ
เต้าหู้และถั่วเหลืองเป็นแหล่งแคลเซียมที่น่าสนใจเช่นกัน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสารคล้ายฮอร์โมนเพศที่เรียกว่า ไฟโทอีสโทรเจน (Phytoestrogen) ในถั่วเหลือง ซึ่งช่วยลดความรู้สึกไม่สบายตัวในระยะหมดประจำเดือนได้ และมันช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูกโดยไม่กระตุ้นมะเร็งในเต้านม
ดังนั้น ควรกินหลายอย่างสลับกัน เพื่อให้ได้สารอาหารหลากหลาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ควรกินแคลเซียมเกิน 600 มิลลิกรัมต่อมื้อ เพราะร่างกายจะดูดซึมไม่ทัน เสียของเปล่าๆ
ดร. เฮนนีย์ แห่งมหาวิทยาลัยอินดีแอนา กล่าวว่า คนเอเซียเป็นโรคกระดูกพรุนน้อยกว่าฝรั่งทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้ดื่มนม เพราะคนเอเซียได้แคลเซียมจากผักใบเขียว ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งแย้งว่า เพราะคนเอเชียกินเนื้อน้อยกว่าฝรั่ง
อาหารไทยพื้นบ้าน ผักสดจิ้มน้ำพริกปลาป่น เข้ากับลิ้นคนไทยมากกว่าพิซซ่าและนมสด จริงไหมครับ?
ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ
ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ
ในท้องตลาด มีแคลเซียมชนิดเม็ดหลายรูปแบบวางจำหน่าย บางชนิดมีสี รส กลิ่น คล้ายส้ม เติมฟองฟู่ฟ่าน่ากิน แต่ราคามหาโหด อาหารเสริมหรือยาที่ใส่แคลเซียมกลูโคเนต แคลเซียมแลคเตต แคลเซียมคาร์โบเนต และแคลเซียมซิเตรต คุณภาพอาจแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ถ้าเอาราคามาร่วมคิดในภาวะเศรษฐกิจรัดตัวเช่นนี้ ผมว่าเลือกที่ราคาไม่แพง เช่นขององค์การเภสัชกรรมจะดีที่สุด
ขนาดแคลเซียมที่เหมาะสมยังเป็นที่ถกเถียงกันบ้าง แต่ Consumer Reports ปี พ.ศ. 2538 แนะนำไว้ที่ขนาดไม่เกิด 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน แม้จะสูงกว่านั้นบ้างก็ไม่ถึงขั้นเป็นอันตราย มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแนะนำไว้ถึง 2,400 มิลลิกรัม
แต่ในมื้อหนึ่ง หรือการกินยาเม็ดแคลเซียมครั้งหนึ่ง คุณไม่ควรกินเกิน 600 มิลลิกรัมต่อครั้งครับ เพราะร่างกายดูดซึมไม่ได้มากกว่านั้น หากคุณต้องการแคลเซียม 1,200 มิลลิกรัม ควรแยกกิน 2 – 4 ครั้งอย่ากินครั้งเดียว
อาหารทำลายกระดูก
การศึกษาที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า กาแฟสามารถกระตุ้นให้แคลเซียมไหลออกจากกระดูกได้เร็วขึ้น โดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการศึกษาในคนถึง 84,000 คน พบว่า คนที่ดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวัน จะเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกสะโพกหักถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่ม หรือดื่มกาแฟเพียงเล็กน้อย
แอลกอฮอร์เป็นอันตรายต่อกระดูก
เช่นเดียวกับสุราที่แปลว่าเหล้า กินแล้วเมาโซซัดโซเซ นักวิจัยพบว่า แอลกอฮอร์ปริมาณสูงเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อกระดูก พิษของแอลกอฮอล์ทำลายเซลล์กระดูกโดยตรง ในการผ่าศพคนที่ตายจากพิษสุราเรื้อรัง พบว่ากระดูกเสื่อมโทรมเกินกว่าอายุจริงถึง 40 ปี การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า เหล้า เบียร์ และสุราทุกชนิด ทำให้กระดูกสะโพกและแขนหักง่าย ยิ่งดื่มมาก กระดูกยิ่งเปราะ หญิงที่ดื่มเบียร์วันละ 2 ขวด มีอัตราเสี่ยงในการเกิดกระดูกหัก 2 เท่าของคนที่ไม่ดื่ม แต่ถ้าเพิ่มเป็น 4 ขวดต่อวัน อัตราเสี่ยงเพิ่มเป็น 7 เท่า!
A call-to-action text Contact us